C-bet หรือ เรียกเต็มๆ ว่า Continuation Betting นักกีฬาโป๊กเกอร์มือใหม่ หรือแม้แต่ผู้เล่นที่ใช้เวลาเล่นมาสักระยะ มักจะทำโดยแทบไม่ต้องคิดเมื่อเขานั้นเป็นฝ่าย Aggressive ในรอบ Pre-flop
สำหรับบทความนี้ เราอยากให้คุณลองตอบคำถามดังต่อไปนี้
- เหตุใดการ C-bet ในการเล่นแทบจะทุกครั้ง ถึงกลายเป็นกลยุทธ์ที่ปกติ?
- การ C-bet ในการเล่นเสมอนั้น ช่วยให้บรรลุวัตถุประสงค์หรือไม่? (คู่ต่อสู้หมอบให้ Bluff และ Call ไพ่ที่แข็งแกร่งของคุณ)
- เลือก C-bet ด้วยขนาดของชิป เดิมพัน ที่เท่าไหร่?
ก่อนที่เริ่มศึกษาในหัวข้อ C-betting อย่างละเอียดจากสถานการณ์ และ แสงดถึงคณิตศาสตร์ ที่อยู่เบื้องหลัง กลยุทธ์ C-betนี้
เรามาตรวจดูว่า C-bet มีการใช้งานอย่างไรในการแข่งขัน ทัวร์นาเมนต์ที่ผ่านมา และ มีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง
วิวัฒนาการของกลยุทธ์ C-betting ในการแข่งขัน ทัวร์นาเมนต์
มีการแข่งขันทัวร์นาเมนต์โป๊กเกอร์ ผ่านมามากกว่า ทศวรรษ และในระหว่างนั้นกลยุทธ์ในการ C-bet ได้มีการพัฒนาตลอดระยะเวลา ในการแข่งขัน และในช่วงปีที่ผ่านมาเมื่อ ทฤษฐีเกม (Game theory)ได้มีส่วนเข้ามาเกี่ยวข้องกับโป๊กเกอร์ จึงทำเกิดคำว่า “ทำไม” อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจ C-bet และเปลี่ยนโฉมหน้าไปตลอดกาล
2008-2009 เมื่อคุณไม่พลาดที่จะ C-betting
ในการเล่น ทัวร์นาเมนต์ (MTTs) ในช่วงปี 2008-09 กลยุทธ์ที่เลือก C-bet 100% เป็นการเล่นที่ทรงพลังมากในแผนการเล่น ผู้เล่นทั่วไปมักเลือกใช้แผนนี้รวมอยู่ในการเล่นของเขาเนื่องจากผู้เล่นทั่วไปส่วนใหญ่มักหมอบทิ้ง เมื่อไพ่ของเขาไม่ติดอะไรบนบอร์ด ซึ่งการที่ C-bet 100% ก็สามารถเข้าใจได้ ในทางคณิตศาสตร์ (เมื่อส่วนใหญ่เป็นประโยชน์)
เรามาลองทำความเข้าใจจากตัวอย่าง ที่เลือก C-bet ด้วยขนาดครึ่งหนึ่งขอชอง Pot ยกตัวอย่าง Pot ขนาด 100 ชิป ดังนั้นคุณจึงมีความเสี่ยง 50 ชิป เพื่อโอกาสชนะ ได้ 100 ชิป เท่ากับความเสี่ยงต่อผลต่อแทน เป็น 2:1 Pot odds ดังนั้น ความเสี่ยงนี้ต้องการ 33% ของโอกาสชนะ เพื่อให้ C-bet นี้เป็น Action ที่สามารถทำกำไรได้ ดังนั้นหมายความว่า ฝ่ายตรงข้ามต้อง Call อย่างน้อย 66% เพื่อป้องกันไม่ให้คุณสามารถทำกำไรแบบอัตโนมัติจากการ C-bet เนื่องจาก คุณมีโอกาสประมาณ 33% ที่จะติดคู่ใดคู่หนึ่งหรือดีกว่านั้นที่ flop ดังนั้นความคุ้มค่าในการ C-bet ก็จะเพิ่มสูงขึ้นอีกเป็นอย่างมาก แม้ว่า ฝ่ายตรงข้ามมีกลยุทธ์ที่แน่นอนว่าจะไม่หมอบไพ่เมื่อติดคู่ใดคู่หนึ่ง หรือ Draw อะไรก็ตาม เขาก็มีโอกาสถึง 66% ที่จะไม่ติดอะไรเลย ดังนั้นจึงอนุมานได้ว่า เขามีโอกาสหมอบให้กับคุณ อยู่ที่ประมาณ 50%
ดังนั้น C-bet 100% ทุก Flop ในการเล่นแบบ Head-up จึงกลายเป็นเรื่องปกติ
ย้อนกลับไป ในปี 2011 ที่เริ่มมีการทำลายกำแพง กลยุทธ์ ที่ผู้เล่นที่ มักจะ C-bet ออกมา 100% ด้วยการ Check-raise หรือRe-raise กลับไป สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เมื่อเราเริ่มเรียนรู้มากขึ้นว่า ฝ่ายที่ C-bet ก็มีโอกาสที่จะติดอะไรที่ Flop อยู่ที่ประมาณ 33% เช่นเดียวกันนอกจากนี้ ผู้เล่นโดยส่วนใหญ่ ก็มักจะ Check สำหรับ Hand ที่ Strong มากๆ ตัวอย่างเช่น Set และ กรณีที่ไม่ติดอะไรเลยเลยเลือกที่จะ Pot control ด้วยเช่นเดียวกัน

2013 เมื่อผู้เล่นเริ่มเปลี่ยนกลยุทธ์ มาเล่นตาม Flop
เป็นการเริ่มเปลี่ยนแปลงแบบช้าๆ ที่ผู้เล่นเริ่มจะพิจารณาบอร์ดมากกว่าที่จะตัดสินใจ C-bet 100%
ยกตัวอย่างเช่น ผู้เล่นมักจะเริ่ม Check บ้าง เมื่อเขาถือ A♠ K♠ บนบอร์ด9♥ 8♥ 7♥ และ เริ่มมีการศึกษาที่จะปรับขนาดของ Bet size ลงจาก 50% เหลือ 1/3 หรือ 30% Pot
ด้วยขนาด Bet-size ที่เล็กลงทำให้ต้องการโอกาสชนะที่ 25% เพื่อให้ การ C-bet ในครั้งนี้เป็นการทำกำไร แนวคิดที่อยู่เบื้องหลัง คือการที่จะยังคงให้ไพ่ overcard ,Ace high หรือแม้แต่ Gutshots ในRange ของคู่ต่อสู้ ยังคงสามารถ Call มาเล่นได้ และแน่นอน นักกีฬาโป๊กเกอร์ที่ดี มีลักษณะพิเศษคือการปรับตัวเมื่อทราบว่า ผู้เล่นที่ C-bet ลดขนาด Size ลงทำให้ความคุ้มค่าที่จะ check-raise เพื่อ Bluff ในราคาที่ถูกลงด้วยเช่นเดียวกัน
2015 เมื่อผู้เล่นเริ่มพิจารณาเล่นตาม Range
การเข้ามาของ ทฤษฐีเกม หรือ Game theory optimal (GTO) ที่กลายมาเป็นกลยุทธ์ที่ได้รับความนิยม นำมาช่วยผู้เข้าแข่งขัน ในการเลือกการเล่นที่ดีที่สุด ในการแข่งทัวร์นาเมนต์
และเป็นเนื้อหาหลักของบทความนี้ หมายความว่า ผู้เล่นที่เล่นด้วย GTO จะมีการเล่นที่ไม่สามารถหาจุดอ่อนมาโจมตีหรือเอาเปรียบได้ ซึ่งดูจะเป็นเรื่องไกลตัวเป็นอย่างมากเพราะผู้เข้าแข่งขันทัวร์นาเมนต์ มักใช้กลยุทธ์หลักในการมุ่งหาจุดอ่อนของผู้เล่นอื่น และ ทำกำไร โดย มุ่งโจมตี ที่จุดนั้น Exploit
ตัวอย่างที่จะนำมาแสดงนี้ ใช้การจำลองการเล่นจาก โปรแกรม Piosolver ที่จำลองการเล่น ที่ 30BB มี Open-raise range อยู่ที่ 23%
Hand ทั้งหมดที่คุณสามารถนำมา Open-raise ในสถานการณ์นี้ และ มีผู้เล่นที่ Call จากตำแหน่ง Big blind ที่มี Range ในการ Call ที่ Big blind อยู่ที่ 42% ของ Hands ดังภาพด้านล่าง
Flop 7♥2♠ 2♦

จะเห็นได้ว่า Piosolver เลือกที่จะ bet 86.28% และ check 13.72% ดังในกรอบสีน้ำเงิน
แม้ว่า เราจะยังไม่ติดอะไร บนบอร์ดนี้ก็ตาม Solver เลือกที่จะ c-bet ออกไปที่ 1/3 pot โดยส่วนใหญ่ (86.28%) เนื่องจาก ใน Range ของเรายังมี Hand หลายๆ Hand ที่แข็งแกร่งกว่าคู่ต่อสู้

เมื่อพิจารณาต่อว่าเรายังมี Hand หลายๆ Hand ใน Range ที่แข็งแกร่งกว่าคู่ต่อสู้เท่าไหร่ คำตอบก็คือประมาณ 58% Equity vs 42% ที่คู่ต่อสู้มี
นอกจาก ตัวเลขและการคำนวณทางคณิตศาสตร์ที่โปรแกรมแสดงแล้ว ยังมีเหตุผลอื่นดังนี้
- Range advantage พิจารณาจาก Range ของเราเทียบกับ Range ของคู่ต่อสู้ เราจึงควรพิจารณา Bet เพื่อ Value (Bet เพื่อทำกำไรโดยจุดประสงค์เพื่อให้ไพ่ที่แย่กว่า Call) จากการได้เปรียบของเรา
- Equity denial. ใน Range ของคู่ต่อสู้ที่สามารถ กลับมาแข็งแกร่งได้ ดังนั้นโดยส่วนใหญ่เราจึงไม่ต้องการให้คู่ต่อสู้มีความคุ้มค่าที่จะพัฒนาไพ่ให้แข็งแกร่ง
เมื่อคุณได้เรียนรู้ว่าควร c-bet บนบอร์ด 7-2-2 ได้มากขึ้น และ เราจะอธิบายว่าเพราะเหตุใดแล้ว
เราลองเปลีี่่ยนตัวแปร โดยพิจารณาตัวอย่างจาก Flop Q♥ J♥ 3♦
เป็นบอร์ดที่คุณสามารถมี top pair หรือ ดีกว่านั้น น้อยกว่าที่ประมาณ 27%

และแน่นอนคำแนะนำจาก โปรแกรม Piosolver ที่แนะนำว่าควรที่จะ C-bet 1/3 Pot ในการเล่นแทบจะ 100% เลยทีเดียว

จากภาพโปรแกรม piosolver แนะนำให้ Bet ถึง 95.27 % เลยทีเดียวซึ่งสูงมากๆ
เราสามารถนำหลักการเดียวกันมาใช้ที่จุดนี้ แม้ว่าในส่วนใหญ่ของ Range เราจะพลาดไม่ติดอะไรบนบอร์ดนี้ก็ตาม
ด้วยไพ่ที่เปิดออกมามี Q และ J ทำให้ Range ของเราแข็งแกร่งมากเมื่อเทียบกับ Range ของคู่ต่อสู้
คุณสามารถ มี Over-pair และ Top pair-Top kicker ขณะที่เขาไม่มี แม้กระทั้งคู่กลางๆ ที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง จนสุดท้าย คุณพลาดไม่ติดอะไรเลยก็ตาม เมื่อพิจารณา Hand ใน Range อย่างเช่น A-High ก็ยังแข็งแกร่งกว่าไพ่ ใน Rangeของเขาที่ยังไม่ติดอะไรเลยเช่นเดียวกัน ดังนั้น Action C-bet ขนาดเล็กๆ เต็ม 100% ทุกครั้งคือการเล่นที่แนะนำ
สุดท้าย ลองพิจารณา Flop 8♥ 6♦ 5♠ แล้วคิดว่า จะทำอย่างไร..แล้วดูเฉลยจากภาพด้านล่าง

จากภาพเราเห็นได้ในกรอบสีน้ำเงิน โปรแกรมแนะนำให้ Bet 38% และ check 62%
และสามารถอธิบายด้วยภาพด้านล่างนี้

จากภาพในกรอบสีน้ำเงิน จะเห็นได้ว่าไพ่ส่วนใหญ่ใน Range ของเราบนบอร์ดนี้เป็นไพ่ที่มีความแข็งแกร่งปานกลางที่ไม่ควรจะสร้าง Pot ให้ใหญ่มากขึ้นด้วยการ Bet
มีข้อแนะนำสำหรับการ ใช้ Solver เพื่อวิเคราะห์แผนการเล่น โดยต้องตัั้งอยู่บนข้อมูลพื้นฐาน และนำผลที่ได้ แต่ละจุดมาศึกษาถึงเหตุผลที่โปรแกรม เลือกที่จะทำ เพื่อที่คุณจะได้ทราบพื้นฐานการเล่นที่ถูกต้องเพื่อนำไปพัฒนาต่อยอดในการเล่นต่อไป
3 ขั้นตอนที่แนะนำเพื่อพัฒนากลยุทธ์ C-betting ด้วยโปรแกรม
1. เรียนรู้พื้นฐาน C-betting เพื่อความคุ้มค่าทางคณิตศาสตร์ ยกตัวอย่างเช่น c-bet 50% ต้องการ ผลลัพธ์ 33% เพื่อให้การเล่นนั้นเป็นการเล่นที่คุ้มค่า ส่วนการ c-bet 33% ของ Pot ต้องการ ผลลัพธ์ เพียง 25%
2. ทดลองวิเคราะห์การผลการเล่น โดยจำลอง Range ของผู้เล่นทั้งสองฝ่าย ค้นหาคำตอบ ว่า ใครคือฝ่ายได้เปรียบ Range advantage มีการเล่นในรุปแบบใดกับ Flop ที่เปิดออกมา และ มีความถี่เช่นใด ที่โปรแกรมแนะนำให้ C-bet
และเมื่อใดก็ตามที่ เกิดความสับสนว่า จะเลือกข้อใดดีระหว่าง 1 และ 2 ที่จะให้ผลดีที่สุด เราจะไปต่อที่ข้อ 3
3.โป๊กเกอร์คือเกมที่ใช้ทักษะรอบด้านประกอบกัน โดยพิจารณาประเภทการเล่นของคู่ต่อสู้ของคุณ เขามีการตอบสนองต่อ การ C-bet ของคุณอย่างไร จะใช้วิธีการใดเพื่อ หาจุดอ่อนและ โจมตี
ในหลายสถานการณ์ ในการเล่นโป๊กเกอร์นั้น ต้องการการเล่น โดยใช้วิธีศึกษาการเล่น และจุดอ่อนของคู่ต่อสู้ เพื่อโจมตี Exploit และการศึกษา Solver เป็นการปิดจุดอ่อนนั้น ไม่ให้คุณถูกโจมตีและใช้มันเป็นเครื่องมือ ที่ดีที่สุด และสุดท้ายเลือกได้ว่าจะ ทำกำไรสูงที่สุดได้อย่างไร











