สัญญาณว่าไพ่ที่แข็งแกร่งของคุณกำลังจะแพ้

สำหรับการเล่นโป๊กเกอร์ด้วยแผนการเล่นมาตรฐานโดยทั่วไป เรามักจะไม่ Slow-Play (สโลว์เพลย์) ด้วยไพ่ที่มีความแข็งแกร่ง เพราะโดยปกติแล้ว คุณจะสามารถทำกำไรได้มากกว่าจากการเล่นเพื่อเรียก Value ให้มากที่สุด แต่การเล่นโป๊กเกอร์มีคำพูดอยู่หนึ่งคำที่สามารถนำมาใช้ได้กับทุกกรณี นั่นก็คือ “โป๊กเกอร์คือการเล่นขึ้นที่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในขณะนั้น”

 

ในบทความนี้คุณจะได้เรียนรู้วิธีเลือกจังหวะที่ถูกต้องในการเล่นแบบ Slow-Play ที่มีความซับซ้อนที่สามารถทำกำไรได้มากกว่าการเล่นแบบตรงไปตรงมา และจังหวะที่ไม่ควรเล่น ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดจากการเล่นของคุณเอง

เราจะเริ่มทำความเข้าใจในแต่ละหัวข้อด้วยตัวอย่างในสถานการณ์การเล่นจริง ที่จะช่วยให้คุณเข้าใจว่าอะไรทำให้การเล่นแบบหนึ่งดีกว่าอีกแบบหนึ่ง

 

Slow-Play (สโลว์เพลย์) คืออะไร? Slow-Play คือกลยุทธ์ในการเล่นของผู้เล่นที่มีไพ่ที่แข็งแกร่ง แต่เลือกที่จะเล่น (Action) เสมือนว่ากำลังมีไพ่ที่อ่อนแอ เพื่อให้คู่ต่อสู้

  1. ยังคงเล่นต่อได้ (หวังว่าเขาจะมีไพ่ที่แข็งแกร่งขึ้นพอที่จะ Call แผนการ Bet ของคุณ)
  2. สร้างโอกาสในการ Bluff ให้คู่ต่อสู้ (เนื่องจากเขาคิดว่าคุณมีไพ่ที่ไม่แข็งแกร่ง)

 

ยกตัวอย่างเช่น “คุณมี AA และเลือกที่จะ Check ในการเล่นที่ Flop บนบอร์ด K93 เพื่อ Slow-Play”

Wet Boards (ไพ่ที่เปิดขึ้นบนบอร์ด มีความเชื่อมโยงกันมาก) ไม่เหมาะสำหรับการเล่นแบบซับซ้อน ในการเล่นโป๊กเกอร์ในรูปแบบ NLH ผ่านทางออนไลน์ ในห้อง 6 คน ที่โต๊ะ 2/5 โดยมี Effective Stacks ที่ 500 (100BB)

คุณอยู่ในตำแหน่ง BB ด้วยไพ่ 5♥ 5♣ ทุกคนบนโต๊ะ Fold หมด มีผู้เล่นที่ตำแหน่ง MP Open-Raise ที่ 12.5 คุณจึงเลือกที่จะ Call

ไพ่ที่ Flop เปิดออกมาเป็น (Pot 27): 8♠ 5♦ 4♠ คุณเลือกที่จะ Check คู่ต่อสู้ที่ตำแหน่ง MP Bet = 18 คุณจะทำอย่างไร…? เรามาวิเคราะห์แผนการเล่นไปพร้อมๆ กัน คุณเลือกที่จะ Check/Raise ในการเล่นที่จุดนี้ เนื่องจาก…

คู่ต่อสู้ที่ตำแหน่ง Middle-Position (MP) อาจมีไพ่ที่มีความแข็งแกร่งอยู่ใน Range มากพอสมควรที่เลือกจะ Value Bet ออกมา รวมถึงยังมีไพ่ที่สามารถนำมา Semi-Bluff ได้อีกด้วย ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมา สามารถ Call แผนการเล่นที่คุณคิดจะเลือก Check/Raise คุณจึงต้องพยายามสร้าง Pot ให้มีขนาดใหญ่ ด้วยการทำกำไรจากไพ่ในกลุ่ม Value Hand ของคู่ต่อสู้ ได้แก่ Over-Pair (99–AA) และ Flush-Draw เหล่านี้

 

นอกจากนี้ยังมีไพ่เป็นจำนวนมากที่จะเปิดขึ้นที่ Turn ซึ่งจะทำให้คุณต้องเล่นด้วยความระมัดระวัง และลดความดุดันลง (ยกตัวอย่างเช่น 6, 7 หรือ โพดำ) เมื่อไพ่เหล่านี้เปิดขึ้นที่ Turn จะทำให้คู่ต่อสู้สามารถนำมากดดันได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก ดังนั้น เมื่อคุณ Check (เนื่องจากต้องเล่นอย่างระมัดระวัง) เขาจะ

  1. Check-Back เนื่องจากเขายังไม่ติดอะไร
  2. Bet เพื่อกดดัน (เขายังไม่ติดอะไรแต่เลือกที่จะ Bluff) หรือไพ่ของเขาติดไปเรียบร้อยแล้ว และพยายามทำกำไรให้สูงที่สุดเมื่อเขาได้เปรียบ

 

คุณยังมีไพ่ในกลุ่ม Semi-Bluff ที่ได้รับประโยชน์จากการเล่นอย่างดุดันที่ Flop และสร้าง Balance ให้กับการเล่นของคุณเมื่อคุณมี Range ที่แข็งแกร่ง ไพ่ที่ดีได้แก่ Flush-Draw ที่มีศักยภาพด้วยการติด Straight ได้อีกด้วย ได้แก่ไพ่ (T♠ 9♠, J♠ 6♠, J♠ 7♠, Q♠ 6♠, K♠ 6♠) และ Gutshots บวก Backdoor Flush Draw (T♦ 6♦, T♦ 7♦, J♦ 6♦, J♦ 7♦, Q♦ 6♦, Q♦ 7♦) ไพ่เหล่านี้เหมาะที่จะเล่นด้วยการ Check/Raise และยิงต่อที่ Turn มากกว่าที่จะเล่นด้วยการ Check/Call ซึ่งจะเป็นความได้เปรียบจากการเล่นของคู่ต่อสู้มากกว่า

  • ในกรณีไพ่ที่ Turn เป็น Brick (ไม่เกี่ยวข้องกับไพ่ที่ Flop) คุณจะไม่สามารถวางเดิมพันสูงได้เนื่องจากโดยส่วนใหญ่คู่ต่อสู้จะคาดว่าคุณถือไพ่ที่กำลัง Draw โดยส่วนใหญ่ ทำให้เขาสามารถ Call ได้มากขึ้น
  • ในกรณีไพ่ที่ Turn Complete Draw เขาสามารถใช้แผนการเล่นด้วยการ Check/Back เพื่อ Control-Pot (Check เพื่อควบคุมชิปกองกลาง) ซึ่งหมายความว่าถึงแม้คุณจะสามารถเอาชนะในการเล่นนี้ได้ผลตอบแทนก็ไม่ได้มากอย่างที่ต้องการ

 

ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ไพ่ 55 ของคุณ จึงเป็นแฮนด์ที่คุณควรเล่นด้วยการ Check/Raise โดยส่วนใหญ่ ด้วยขนาดประมาณ 60 น่าจะเหมาะสมที่สุด

การเล่นที่มีการเดิมพันขนาดใหญ่ แต่บอร์ดที่เปิดขึ้นมาเป็น Dry Board ทำให้คุณต้อง Slow การเล่นของคุณลง ทำความเข้าใจจากตัวอย่าง ในการเล่นโป๊กเกอร์ ห้อง 6 คน ที่โต๊ะ 5/10 มี Effective Stacks อยู่ที่ 1000 (100BB)

คุณอยู่ในตำแหน่ง Big-Blind อีกเช่นเคย ด้วยไพ่ 6♠ 4♠ ผู้เล่นในตำแหน่ง Cut-Off Open-Raise มาที่ 30 การเล่นมาถึงคุณ เลือกที่จะ Call

ไพ่ที่ Flop เปิดขึ้นมาเป็น (Pot 65): Q♠ 6♦ 4♣ คุณต้องเล่นก่อนเลือก Check คู่ต่อสู้ในตำแหน่ง CO เลือกที่จะ C-Bet 60 (ขนาดเกือบเท่า Pot) คุณจะทำอย่างไร…?

 

เราขอแนะนำให้คุณวิเคราะห์ถึงความแตกต่างที่สำคัญเปรียบเทียบกับตัวอย่างที่ผ่านมา ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 3 ประการ ดังนี้..

  1. ไพ่ที่เปิดขึ้นบนบอร์ดไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลย (Very Dry Board) ไม่มีความเกี่ยวข้องระหว่างไพ่มากนัก (มีเพียงไพ่ 6 และ 4 เท่านั้นที่เชื่อมต่อกัน แต่ Range ของตำแหน่ง CO ที่จะนำมา Open Raise ไม่ค่อยจะเกี่ยวข้องใดๆ) ทำให้ลดโอกาสที่คู่ต่อสู้จะมี Straight-Draw และ Flush-Draw บนบอร์ดนี้ก็ยังไม่สามารถมีได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น ไพ่ที่ Turn จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้มากนักบนบอร์ดนี้นั้น หมายความว่าคุณไม่จำเป็นที่จะต้องปกป้อง Equity ด้วยการเล่นที่ดุดันใดๆ
  2. ขนาดของการ C-Bet ที่คู่ต่อสู้เลือกนำมาใช้นั้นสูงมาก โดยปกติแล้ว ขนาดเดิมพัน (Bet-Size) ที่ใหญ่จะแสดงถึง Range ที่ Polarize ซึ่งในสถานการณ์นี้ ประกอบไปด้วย กลุ่มไพ่ที่แข็งแกร่ง เช่น Top-Pair (Qx) และไพ่ที่นำมา Bluff เช่น Gutshots, Open-End Straight Draw หรือ Backdoor Draw ด้วยเหตุผลดังกล่าว โปรแกรม Solver แนะนำให้ลดความถี่ในการ Check/Raise ลงให้ต่ำที่สุด ซึ่งดูสมเหตุสมผล เพราะบนบอร์ดนี้ คู่ต่อสู้มีแฮนด์ที่คุณสามารถทำกำไรจาก Check/Raise ได้น้อย และคุณยังสามารถทำให้เขา Bluff ต่อได้ใน Street ต่อไป
  3. แฮนด์ของคุณยังอ่อนแอ นี่เป็นเรื่องจริงไม่เพียงแต่ในแง่ของความแข็งแกร่งของไพ่ในขณะนี้ของคุณเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความแข็งแกร่งของไพ่ที่สัมพันธ์กับสถานการณ์ในการเล่นด้วย การลดลงของความแข็งแกร่งที่สัมพันธ์กันนี้เป็นผลมาจากขนาดเดิมพัน (Bet-Size) ที่คู่ต่อสู้เลือกใช้ ที่ระบุ Range ใบแบบ Polarize

 

ด้วยเหตุผลทั้ง 3 ประการนี้คุณจึงควรที่จะเล่นด้วยการไม่ทำให้คู่ต่อสู้คาดเดาความแข็งแกร่ง Top of Form

 

 

Share to . . .

บทความน่าสนใจ