ฝึกฝนการอ่าน Range ของคู่ต่อสู้อย่างไร ?

ความสามารถในการอ่าน และคาดเดา Range ของคู่ต่อสู้ได้อย่างแม่นยำ นั้นถือเป็นทักษะที่มีค่าที่สุดในการเล่นโป๊กเกอร์ โดยบทความนี้เราจะนำความสามารถของ Solver (โปรแกรมช่วยจำลองสถานการณ์ในการเล่น) มากำหนดกลยุทธ์ที่ดีที่สุดตามทฤษฎีเกม หรือ GTO โดยกำหนดสถานการณ์ในการเล่นที่สามารถพบได้บ่อยที่สุดในการเล่นโป๊กเกอร์ ซึ่งก็คือ  สถานการณ์ในการเล่น Single Raise Pot ระหว่างผู้เล่นในตำแหน่ง Button vs Big-Blind เพื่อช่วยให้คุณสามารถฝึกฝนการ สร้าง Range ของคู่ต่อสู้ในการแข่งขันจริงได้

 

โดยเราจะจำลองการเล่นในตำแหน่ง Big-Blind โดยใช้แผนการเล่นแบบสมดุล และฝึกฝนการอ่าน Range ของคู่ต่อสู้ในทุกๆการตัดสินใจ เรามาเริ่มทำความเข้าใจจากตัวอย่างดังนี้

 

แผนการเล่น รอบ Pre-Flop

คู่ต่อสู้ที่ตำแหน่ง Button เลือก Open-Raise ที่ 2.5BB  และคุณเลือกที่จะ Call

 

แผนการเล่น รอบ Flop

ไพ่ที่ Flop เปิดออกมาเป็น  J♥T♦2♣

ไพ่ที่คุณถือ คือ K♠9♦ ทำให้ที่ Flop นี้คุณมี Gutshot Straight Draw และ 1 Overcard
คุณเลือก Check และ คู่ต่อสู้ Bet 30% ของ Pot

 

วิเคราะห์แผนการเล่น

ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกตอบสนองต่อแผนการเล่นของคู่ต่อสู้อย่างไร ให้เราลองคาดเดาว่า Solver เลือกให้คู่ต่อสู้ในตำแหน่ง Button ใช้ Bet-Size ในขนาดเล็ก (30% หรือ 1/3 ของ Pot) โดยมีเป้าหมายเพื่อโจมตีมายัง A-High ,K-High และ Q-High ที่อ่อนแอใน Range ของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจาก ไพ่ดังกล่าวใน Range ของเรา มีโอกาสชนะเพียงไพ่ที่ คู่ต่อสู้เลือกนำมา Bluff เท่านั้น แต่ ยังตามหลังไพ่ที่เป็น Value ของ คู่ต่อสู้

 

ดังนั้นด้วยไพ่ K♠9♦ ในมือ การตัดสินใจ Call จึงเป็นการเล่นที่ Solver แนะนำ

 

Range ไพ่ของคู่ต่อสู้ ในการเล่นที่ Flop ควรจะเป็นอย่างไร ?

ลองคิดสักครู่ว่าคู่ต่อสู้ ควรจะมีไพ่ใดบ้างใน Range ที่เลือกจะใช้กลยุทธ์ในการ Bet ขนาดเล็กที่ Flop J♥T♦2♣

เราขอให้คุณลองคาดเดา แล้ว จึงค่อยเลื่อนลงไปหาคำตอบ

..

 

ด้วยขนาด Bet-Size เล็ก เราคาดเดาว่า Range ของคู่ต่อสู้ควรจะมีลักษณะที่กว้างมาก (ใกล้เคียงกับขนาดที่นำมา Range-Bet ได้) แน่นอนว่า Range ของเขาจะประกอบไปด้วย มือที่แข็งแกร่ง (อย่างเช่น AJ) และ มือที่นำมา Bluff (อย่างเช่น 6♦5♦) ซึ่งหากฝ่ายตรงข้ามเลือกที่จะ Check ก็มีแนวโน้มว่าเขาเลือกที่จะ Check กับมือที่มีความแข็งแกร่งปานกลาง (เช่น KT และ QT)

 

และภาพด้านล่างนี้คือ ความถี่โดยละเอียดที่ Solver แนะนำให้ผู้เล่นที่ตำแหน่ง Button เลือกเล่น

 

 

ซึ่งเห็นได้ว่า Solver เลือกที่จะ Check 29% , Bet ในขนาดเล็ก ที่ 51% ,โดยมี Over-Bet อีกราว 19%

 

ดังนั้นเมื่อคู่ต่อสู้เลือกใช้ ขนาด Bet-Size เล็ก เราจึงคาดเดาได้ว่าคู่ต่อสู้เลือกใช้แผนการเล่นในแบบ สมดุล หรือ Mix Strategy กับไพ่ทั้งหมด แม้ว่า KTo ,QTo ,99, A9, A8 และ A7  Solver แนะนำว่า ควรเลือกที่จะ Check บ้างก็ตาม

Solver มักจะเลือกใช้ กลยุทธ์ในการเล่นเช่นนี้ ซึ่งเป็นการยากสำหรับมนุษย์ที่จะนำมาใช้ได้อย่างถูกต้อง แต่ก็คุ้มค่าหากคุณสามารถทำได้ เพราะมันทำให้คุณไม่สามารถคาดเดาได้ และ ทำให้คุณกลายเป็นผู้เล่นที่เล่นด้วยยาก

 

สรุปแผนการเล่นที่ Flop : การพยายามในการกำหนด  Range ของคู่ต่อสู้จากแผนการเล่นที่ Flop นี้ค่อนข้างแม่นยำ มีเพียงไพ่ที่มีความแข็งแกร่งปานกลาง ที่ผู้เล่นปกติมักจะนำมา Bet ได้มากกว่าที่เราคาดไว้เท่านั้นที่ยังคาดเดาได้ยากอยู่บ้าง

 

 

แผนการเล่น รอบ Turn

ไพ่ที่ Turn เปิดออกมาเป็น  8♦ ทำให้ไพ่บนบอร์ดทั้งหมดมีไพ่  J♥T♦2♣ – 8♦

คุณเลือก Check อีกครั้ง และคู่ต่อสู้เลือกที่จะ Check-Back

 

วิเคราะห์แผนการเล่น

เมื่อไพ่ี่ Turn เปิดขึ้นมาเป็น 8♦ ทำให้มีความเป็นไปได้ที่จะติด Straight บนบอร์ดนี้แล้ว และ โดยรวมแล้วเป็นไพ่ที่ดีสำหรับคุณในตำแหน่ง BB เนื่องจากสามารถมีมือที่สามารถติด Straight ได้ใน Range จากไพ่เช่น Q9x และยังสามารถ มี 2-Pair ได้จาก T♣8♣ อีกด้วย

ในขณะเดียวกัน ไพ่ใน Range ของคู่ต่อสู้ อย่างเช่น Over-Pair  (QQ,KK,AA) ในขณะนี้ก็อ่อนแอลงเป็นอย่างมากหากเทียบกับ Range ของคุณตามที่กล่าวมา

 

Range ไพ่ของคู่ต่อสู้ ในการเล่นที่ Turn ควรจะเป็นอย่างไร ?

คู่ต่อสู้เลือกที่จะเดิมพันขนาดเล็กในการเล่นที่ Flop  J♥T♦2♣ แล้วเลือกที่จะ Check-Back ที่ Turn 8♦ นี้

ลองคิดสักครู่ว่าคู่ต่อสู้ ควรจะมีไพ่ใดบ้างใน Range ที่ตัดสินใจ Check เมื่อคุณพร้อมที่จะไปต่อ ให้เลื่อนลงมา

..

แผนการเล่นของคู่ต่อสู้ ที่ Turn นี้ทำให้ Range ไพ่ของคู่ต่อสู้แคบลงอย่างมาก

 

ลองถามตัวเองว่า:

 

“ไพ่ใด ใน Range ของคู่ต่อสู้ ที่จะไม่ Check-Back ในการเล่นที่ Turn”

 

แน่นอนว่าถ้าคู่ต่อสู้มีไพ่ Straight หรือ Set คู่ต่อสู้ควรเลือกที่จะ Bet และ ยังเดาได้เพิ่มเติมอีกว่าหากคู่ต่อสู้ มี 2-Pair ก็ควรเลือกที่จะ Bet หรือ Check ได้บ้างในบางครั้ง(จากกลยุทธ์ที่แนะนำโดย Solver)

 

ไพ่ Top-Pair เช่น QJ และ J9 ควร Bet ในความถี่ที่สูงกว่า Top-Pair ที่มี Kicker แข็งแกร่งกว่าอย่างเช่น AJ และ KJ เนื่องจากมีโอกาสติด Straight เพิ่มเติม และยังสามารถเล่นต่อได้หากถูก Check/Raise ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงที่จะเจอสถานการณ์เสียเปรียบหรือ Drawing Dead.

 

ดังนั้นเราคาดเดาได้ว่าไพ่ที่แย่กว่าไพ่ Top-Pair อย่างเช่น AT หรือ 66 จึงมีแนวโน้มที่จะ Check ในการเล่นที่ Turn

เรามาดูไปพร้อมๆ กันว่า Solver ให้คำแนะนำว่าอย่างไร

 

 

Solver แนะนำให้ Check ถึง 63% ในการเล่นที่ Turn ซึ่งรวมถึงไพ่ AJ, KJ และ Tx แต่หากเลือกที่จะ Bet ควรเลือกขนาด Bet-Size กลางๆ ที่ 6.4ฺฺBB ถึง 8BB กับไพ่เช่น QJ และ Q9 ฯลฯ

 

สรุปแผนการเล่นที่ Turn : หากคุณสามารถตอบคำถามได้อย่างถูกต้อง ว่า “ไพ่ใดใน Range ของคู่ต่อสู้ที่จะไม่เลือกที่จะ Check-Back ในการเล่นที่ Turn นี้” คุณก็จะทราบได้ว่า Range ของคู่ต่อสู้นั้นมีลักษณะเป็นอย่างไร ซึ่งแคบมากจนเกือบจะสามารถคาดเดาได้แล้ว

 

แผนการเล่น รอบ River

ไพ่ที่ River  เปิดออกมาเป็น 6♣  ทำให้บอร์ดในขณะนี้ มีไพ่ดังนี้  J♥T♦2♣ – 8♦ -6♣

ทำให้ขณะนี้คุณมีเพียง K-High มันจึงชัดเจนว่าคุณควรเลือก Bet ออกไป เพื่อโจมตีไพ่ของคู่ต่อสู้ที่อ่อนแอ และ แน่นอนว่าคู่ต่อสู้จะหมอบไพ่ที่ไม่แข็งแกร่งของเขา ซึ่งจากสถานการณ์ในการแข่งขันจริงในตัวอย่างนี้ คู่ต่อสู้ถือ 7♥7♦ และ หมอบไปคุณชนะ

 

บทสรุป

การประเมิน Range ของคู่ต่อสู้ในการแข่งขันโป๊กเกอร์ เราจะมุ่งเน้นการวิเคราะห์และคาดเดาไพ่ที่คู่ต่อสู้มีอยู่ในมือเพื่อช่วยในการตัดสินใจให้แม่นยำขึ้นในทุกสถานการณ์ของเกม  โดยมีแนวคิดคือ “คุณไม่สามารถรู้ได้ว่าคู่ต่อสู้ถือไพ่อะไร แต่คุณสามารถ “ประมาณ” Range ที่พวกเขาอาจถือ หรือ มีอยู่ได้”  จากนั้นจึง พิจารณาจาก แผนการเล่นของคู่ต่อสู้ หรือ Action ที่เขาตัดสินใจเล่น เช่น การ Raise, Call, หรือ Check รวมถึงตำแหน่ง (Position) และ ความถี่ (Tendency) ของคู่ต่อสู้ซึ่งจะช่วยคุณประเมินได้อย่างแม่นยำ

 

มาสรุปกันว่าทำไมการฝึกฝนการอ่าน Range จึงสำคัญ

   – ช่วยในการตัดสินใจได้ดีขึ้น เช่น ควร Bet, Call, หรือ Fold 

   – ลดโอกาสการทำผิดพลาด เช่น Bluff ใส่คู่ต่อสู้ที่อาจถือไพ่ที่แข็งแกร่ง

   – เพิ่มความได้เปรียบในระยะยาว โดยการทำให้การเล่นของคุณมีข้อมูลรองรับมากขึ้น 

 

Share to