เทคโนโลยีในปัจจุบันทำให้การศึกษาโป๊กเกอร์ของเราง่ายขึ้น และมีความถูกต้อง (ในแง่ของ Game Theory ที่เลือกตัดสินใจบนพื้นฐาน Optimal) ซึ่งในบทความนี้เราจะมาศึกษาถึงรายละเอียดในการเล่นที่ Turn ว่าไพ่ใดเป็นไพ่ที่ดีและแย่ โดยยกตัวอย่างในการเล่นแบบ Single Raise Pot มีตำแหน่งในการเล่นที่ได้เปรียบ IP
เพื่อให้เราสามารถทำความเข้าใจได้อย่างละเอียดเราจะทำการศึกษาจากตัวอย่าง โดยการจำลองสถานการณ์ เพื่อให้สามารถทำความเข้าใจ และยังสามารถนำไปปรับใช้สำหรับการเล่น ในแบบทัวร์นาเมนต์ได้อีกด้วย
K72r (r= Rainbow หมายถึงไพ่ทุกใบมีสีแตกต่างกัน) ตำแหน่ง BTN vs BB Single Raise Pot
เป็นสถานการณ์ที่ไฝ่ฝันของผู้เล่นโป๊กเกอร์ทุกคน เราเป็นฝ่าย Raise Pre-Flop จากตำแหน่ง Button ที่ได้เปรียบ ตำแหน่งในการเล่น และ ความแข็งแกร่งของไพ่จากการที่เป็นฝ่ายดุดัน (Aggressive)
สำหรับ Flop แรกที่เราจะทำการศึกษาก็คือ K♠7♥2♦
เป็นบอร์ดที่ BTN ไม่มีกังวลใดๆ สามารถเลือกขนาดวางเดิมพันสำหรับการ C-bet ขนาดเล็กๆ บนบอร์ดในตัวอย่างนี้ ได้กับไพ่โดยส่วนใหญ่ใน Range ของเขาแต่เป็นผู้เล่นที่ตำแหน่ง BB ที่เล่นต่อได้ยากโดยที่ไม่มี Draw ต่างๆ ทำให้อาจจะต้องเลือก Over-Fold (หมอบมากกว่าปกติ) หรือเลือกไพ่ที่สามารถพัฒนา Backdoor มาเล่น
ดังนั้นคุณจึง C-Bet ที่ 33% ของ Pot และ BB call? ในวินาทีนี้เองที่เราสงสัยว่า BB ควรที่จะหมอบมากกว่าปกติ แต่เขาเลือกที่จะ Call ก่อนที่เราจะมาวิเคราะห์แผนการเล่นเรามาตอบคำถามด้านล่างนี้ก่อนว่าไพ่ใดที่ทำให้คุณเล่นยาก
ทดลองทำการเรียงลำดับไพ่ที่จะเปิดที่ Turn ว่าไพ่ใด จะส่งผลให้ Equity ของคุณที่อยู่ที่ตำแหน่ง BTN เพิ่มขึ้นสูงที่สุดระหว่าง
- Ten
- Ace
- Five
- King
คุณสามารถหาคำตอบที่คุณคิดว่าถูกต้องได้ไหม ?
คำตอบก็คือ
A-B-C-D Ten-Ace-Five-King
เราเริ่มวิเคราะห์ที่ละใบ
รายละเอียดของไพ่ที่ Turn ที่ทำให้ Equity ของผู้เล่นที่ตำแหน่ง BTN มีค่าสูงที่สุด เรียงจากน้อยไปมาก โดยที่มากที่สุดคือสีเขียวทางขวา น้อยที่สุดคือสีแดงที่อยู่ทางด้านซ้าย
เราเริ่มทำความเข้าใจว่าทำไม ไพ่ T ที่ Turn ถึงดีที่สุด : เนื่องจากเป็นไพ่ที่สามารถทำให้ไพ่ที่เป็น Backdoor ใน Range ของ BTN สามารถ Barrel หรือ Bet ต่อที่ Turn ได้
ยกตัวอย่าง เช่น AJ, QJ, และ 98 ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้ทำให้ Range ของ BB ที่เป็นฝ่าย Check-Call นั้นเริ่มแย่ลงเรื่อยๆ เนื่องจากไพ่ดังกล่าว BB สามารถ มีใน Rangeได้ยากโดยเฉพาะอย่างยิ่ง มันยังเป็นไพ่คนละสีกับ Flop ด้วยไพ่ T♣ ทำให้ ผู้เล่นที่ตำแหน่ง BTN มี Equity ที่ 49.9%
ในมุมมองของผู้เล่นตำแหน่ง BB อาจพอมี Backdoor พอที่จะนำมาเล่น ได้แก่ ไพ่เช่น QJs, 98s, และ J9s (J9s s= suite หรือ ไพ่ที่มีสีเดียวกัน) ที่เป็นไพ่ที่ไม่มี Showdown Value ดังนั้น Solver จึงเลือกที่จะ Check-Raise ที่ Flop มากกว่าการเล่นโดยการ Check-Call ดังนั้นโอกาสที่ผู้เล่น BB จะมีจึงลดน้อยลงมากจากการเล่น Check-Call ที่เกิดขึ้น ดังภาพ Range ของผู้เล่นที่ตำแหน่ง BBที่แสดงด้านล่าง
ต่อมาที่ Turn A ที่มี Equity เป็นอันดับ 2 ที่ 45.9%
ทำไม A จึงเป็นไพ่ที่ ไม่ได้ดีต่อ BTN อย่างที่เราคิด ?
เนื่องจากมีโอกาสที่ BTN จะมี A แล้วเลือกที่จะ Check-Raise ที่ Flop ดังตัวอย่างในการเล่นที่กล่าวมาข้างต้นเพียง 6.8%
ทดลองเปรียบเทียบ Range ของ BTN ที่ C-bet กับ BB ที่มี Call Range
ไพ่ Ace ไม่ได้แย่สำหรับตำแหน่ง BB และอย่างที่เราคิดตำแหน่ง BB มีโอกาสสูงที่จะนำไพ่ Ace ที่มี Kicker กลางๆ มา Check-Call ที่ Flop ได้ เนื่องจากเป็นไพ่ยังมี Showdown พอที่จะเล่น โดยเฉพาะ A8 ขึ้นไปที่ยังสามารถชนะ 7x ของตำแหน่ง BTN ได้
จากภาพด้านล่างเปรียบเทียบ Top pair ใน Range ของทั้งสองผู้เล่นที่เปิด A ที่ Turn และพบว่า BB มี Top pair Advantage
เมื่อ A ตกที่ Turn ผู้เล่นตำแหน่ง BB มี 38 Combo ที่เป็น Top pair เปรียบเทียบกับ ผู้เล่นที่ตำแหน่ง BTN มี 72 Combo อย่างไรก็ตามในการนำไปปรับใช้ในการเล่นควรทำความเข้าใจถึงลักษณะในการเล่นที่ผ่านมาในรอบก่อนหน้าด้วย นั่นคือในรอบ Flop ที่ BTN เลือกที่จะ Bet ใน Range ที่กว้างกว่าปกติ และ BB นั้น Over-Fold ทำให้ไพ่ที่ BB นำมา Call นั้นค่อนข้างแคบ นั่นหมายถึงจำนวน Combo ที่มีมากนั้นอาจไม่ได้มากกว่า เมื่อพิจารณาจากแผนการเล่นแล้ว
ยกตัวอย่างให้เข้าใจได้มากขึ้น คุณมี 6 Combo ที่เป็น Nuts ในการเล่นที่ River อยู่ใน Range ฟังแล้วเป็นจำนวนที่ค่อนข้างน้อย แต่เมื่อคุณพิจารณาว่า 6 Combo นั้นมาจากไพ่ทั้งหมด 9 Combo ในรอบก่อนหน้า นั่นเป็นจำนวนถึง 2/3 ของ ทั้งหมด ใน Range ของคุณ แต่มันจะต่างออกไป หากคุณเริ่มต้นเล่นด้วย 500 Combo ในรอบ Pre-Flop ด้วย 500 Combo ที่มีเพียง AA ที่เป็น Nut เท่านั้น เพียง 6 Combo จึงดูน้อยมากหากนำมาเปรียบเทียบกัน
ต่อมาเราพิจารณาตัวอย่างที่ Turn เปิด 5♣ ที่เป็น Brick (ไม่มีความเกี่ยวข้องกับไพ่บนบอร์ด) ลด Equity ของ BTN เหลือที่ 44.5%!
ไพ่ 5 ส่งผลไม่ดี กับ BTN มากกว่า A เนื่องจาก 5 สามารถทำให้ BB มี 2 pair หรือ set 55 ได้มากขึ้น ไพ่ 5 ต่างจาก A ตรงที่ผู้เล่นที่ตำแหน่ง BB นั่นไม่มี AA และ TT อยู่ใน Range แน่นอน
ซึ่งหากมีคงเล่นด้วยการ 3bet Pre-Flop หรือ Aggressive และเนื่องจาก BTN เป็นฝ่าย Aggressive ดังที่กล่าวมาใน Range ของเขาจึงประกอบด้วยไพ่ใหญ่โดยส่วนใหญ่ ดังนั้นไพ่ Turn 5 จึงส่งผลให้ไพ่ Broadway ใน Range ของเขาไม่ได้ประโยชน์อะไร แต่อาจช่วยให้ A4s A3s สามารถได้ลุ้นต่อ
สุดท้ายคือไพ่ K ที่เปิดออกมาทำให้ มีไพ่คู่ K อยู่บนบอร์ด
BB มีโอกาสที่จะถือ K แล้ว ติด Trip ในเปอร์เซ็นต์ที่สูง
เมื่อเราพิจารณาจากภาพของ Range ทั้งสองฝ่ายด้านบนจะพบว่า ทั้งสองฝ่ายมีโอกาสที่จะถือ K ในโอกาสที่สูงพอๆกันแต่ K โดยเฉพาะ K♣ นั้นส่งผลให้การเลือกใช้การ Bet ด้วย Back-Door ที่หวังจะเพิ่ม Equity ให้นั้นพลาดไป ในไพ่เช่น T9 86 และ 65
เมื่อพิจารณาโดยใช้ Equity Distribution เราจะสามารถทำความเข้าใจได้ง่ายขึ้นเมื่อที่ Turn เปิดไพ่ K นั่นส่งผลให้ผู้เล่นตำแหน่ง BB และ BTN นั้นสามารถมีไพ่ที่เป็น Nut อยู่ใน Range ของทั้งสองฝ่าย แต่สีเขียวที่เป็นของตำแหน่ง BTN นั้นยังไม่สามารถชนะ BB ได้
แผนการเล่นของผู้เล่นตำแหน่ง BTN สำหรับไพ่ที่ Turn ในรูปแบบต่างๆ
เราสามารถสรุปอะไรได้จากการศึกษาข้างต้น?
- ให้ความสำคัญกับ Range ของผู้เล่นว่ามีความสัมพันธ์กับไพ่ที่ Turn อย่างไร เช่น ผู้เล่นที่เป็น Pre-Flop Raiser นั้นไพ่ใน Range ของเขานั้นมีความสัมพันธ์กับไพ่ที่ใหญ่
- ไพ่ที่ใหญ่กว่าทุกไพ่บน Flop (Over-Card) ส่งผลดีกับผู้เล่นที่เป็น Pre-Flop Raiser ได้มากกว่า
- ไพ่ที่ต่ำกว่าทุกไพ่บน Flop (Low-Card) ส่งผลดีกับผู้เล่นที่เป็นฝ่าย Caller
- เมื่อไพ่ใน Range ของเรามี Nut-Advantage ควรพิจารณาแผนการ Bet ด้วยการ Over-Bet
- เมื่อไพ่ที่เปิดขึ้นมาซ้ำ (Pair-Board) เช่น K ตามตัวอย่างควรพิจารณาลดความ Aggressive ลง และเล่นอย่างระมัดระวัง