เมื่อต้องใช้กลยุทธ์ในการ Exploit คู่ต่อสู้ คุณจะทราบได้อย่างไรว่าควรใช้อย่างไร และเมื่อใดในขณะที่ต้องทำการแข่งขัน ซึ่งอาจถูกทำให้เข้าใจผิดหรือไขว้เขวจากการแกล้งทำให้คุณเข้าใจผิดจากความต้องการของคู่ต่อสู้ เช่น รูปลักษณ์ภายนอก, ท่าทางการแสดงออก ฯลฯ อย่างไรก็ดีมีข้อมูลหนึ่งที่มีความสำคัญที่คุณควรให้ความสนใจเป็นอันดับแรก นั่นก็คือไพ่ของคู่ต่อสู้ที่เปิดตอน Showdown
ในการแข่งขันด้วยการนำแผนการเล่นในแบบ GTO ซึ่งไม่บ่อยครั้งนักที่จะได้เล่นจนสิ้นสุดที่ Showdown สิ่งที่คุณควรมองหาคือไพ่ของคู่ต่อสู้ที่ไม่ควรนำมาเล่น หรือไม่แนะนำให้ผู้เล่นในตำแหน่งนั้น ๆ นำมาเล่น ลองพิจารณาจากตัวอย่าง
ผู้เล่นที่ไม่แสดงความอ่อนแอ
ในการแข่งขันโป๊กเกอร์แบบ 6 คนในรูปแบบ NLH Cash game คุณมีชิปหน้าตักที่ 200BB ที่ตำแหน่ง CO และได้ Open raise ด้วยขนาด 2.5BB ได้ไพ่ K♠ J♠ และมีคู่ต่อสู้ที่เพิ่งเข้ามานั่งใหม่อยู่ที่ตำแหน่ง SB ทำการ 3-Bet คุณกลับมาที่ 11BB ด้วยไพ่ที่คุณถือ จึงเลือกที่จะ Call ชิปเพิ่มอีก 8.5BB แบบไม่ลังเล เนื่องจากได้เปรียบตำแหน่งในการเล่น แล้วค่อยวางแผนการเล่นต่อไปจากไพ่ที่เปิดบนบอร์ด
Flop เปิดออกมาเป็น K♦ 7♥ 2♥ ทำให้ที่ Flop คุณติด Top pair เท่านั้น แต่ไม่ได้มีลุ้นอะไรเพิ่มเติม (Flush หรือ Straight) คู่ต่อสู้ทำการ C-bet ออกมาที่ 7.6BB ซึ่งเท่ากับประมาณ 1/3 ของขนาด Pot ขณะนี้คุณต้องตัดสินใจเลือก ระหว่าง Raise กลับไปซึ่งสามารถทำได้เป็นครั้งคราวกับเลือก Call โดยคุณเลือกที่จะ Call เพราะเหตุผลว่าผู้เล่นใหม่คนนี้คุณยังไม่มีข้อมูลใด ๆ จึงควรเล่นด้วยความระมัดระวัง
ไพ่ที่ Turn เปิดออกมาเป็น A♦ ซึ่งเป็นไพ่ที่ทำให้บอร์ดมีความเชื่อมโยงกันเป็นอย่างมาก ซึ่งสามารถทำให้มีลุ้นทั้ง Straight-Draw และ Flush-Draw คู่ต่อสู้เลือกที่จะแสดงความดุดันด้วยการเลือก Bet ออกมาอีกครั้ง ในครั้งนี้เลือกขนาดที่ประมาณ 1/3 ของ Pot เช่นเดิมที่ราว ๆ 13BB บน Pot 38BB เมื่อเราพิจารณาว่า A นั้นเป็นไพ่ที่สามารถเข้าทาง Range ของผู้ที่เป็น Aggressive Pre-Flop อย่างมาก คู่ต่อสู้อาจมี A และพยายามแสดงให้เห็นว่าเขามี! และนอกจากนี้ Hand ที่ลุ้น Straight และ Flush ก็สามารถใช้กลยุทธ์เช่นเดียวกันนี้ได้ คุณจึงเลือกที่จะ Call ไปเล่นต่อที่ River
ไพ่ที่ River เปิดออกมาเป็น 6♣ ไม่ Complete อะไรบนบอร์ดเลย หรือที่เรียกว่า Brick คู่ต่อสู้เลือกที่จะ Check คุณจึงตัดสินใจที่จะ Check Showdown ด้วยความรอบคอบ และไม่อยากแสดงว่าอ่อนแอโดยการ Bet เพื่อ Value เล็ก ๆ และต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากหากถูก Re-raise กลับมาจากคู่ต่อสู้ที่อาจถือ A ที่ Kicker ไม่ได้ดีนัก หรือว่าเป็น Draw ที่ไม่ติดอะไรที่ River และยอมแพ้ไม่อยากเสียชิปเพิ่ม คู่ต่อสู้เปิดไพ่ออกมาเป็น JJ คุณชนะและได้รับชิปทั้งหมด ภาพแสดงแผนการเล่นจาก Solver ในตัวอย่าง
ผู้เล่นส่วนใหญ่มักจะมองข้ามสิ่งนี้ไปเนื่องจากพวกเขาไม่ต้องการอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องตัดสินใจยากลำบากในการเล่น แต่หลังจากข้อมูลที่คู่ต่อสู้แสดงให้เห็นถึงกลยุทธ์ทั้งหมดในการเล่นจนถึง Showdown คุณจึงควรปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการต่อสู้กับผู้เล่นรายนี้ในครั้งต่อไป
วิเคราะห์แผนการเล่นคู่ต่อสู้ เพื่อ ปรับกลยุทธ์เมื่อต้อง Showdown
ในรอบ Pre-Flop คู่ต่อสู้ 3-bet ด้วยไพ่ Premium ที่ถือ เมื่อไพ่ที่ Flop เปิดออกมาเป็น K♦ 7♥ 2♥ กลยุทธ์ที่คู่ต่อสู้เลือก C-Bet จึงเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สามารถ Range-Bet เนื่องจากไพ่ K เข้าทางผู้ที่เป็นคน 3-Bet เป็นอย่างมาก (แต่คู่ต่อสู้ควรระมัดระวังหากในกรณีที่ Flop เป็น monotone หรือที่เรียกว่าไพ่สีเดียวกันทั้งหมด หรือไพ่ที่ Connect กัน ยกตัวอย่างเช่น KT9 ที่ควรเปลี่ยนเป็น Check แทน)
จากภาพแสดงให้เห็นความถี่ที่ SB สามารถเลือก C-Bet กับไพ่ที่ Flop ในรูปแบบต่างๆ
สำหรับแผนการเล่นที่ Turn ไพ่ที่เปิดออกมาเป็น A ซึ่งเป็นไพ่ที่ดีที่สุดสำหรับ Range ของผู้เล่นที่ตำแหน่ง SB หากเลือกที่จะ Bluff ด้วย A-high ที่ Flop ขณะนี้ ผู้เล่น SB ติด Top-Pair เรียบร้อยแล้วและสามารถ Value Bet ด้วยไพ่ A โดยต้องการทำกำไรจาก CO ที่ถือไพ่คู่เดียว เช่น KQ, KJ และบังคับให้หมอบไพ่คู่กลาง ๆ เช่น TT, 99 ทิ้งไป อย่างไรก็ตาม SB ไม่ควรที่จะ Range-Bet ที่ Turn (Range-Bet คือการที่ไพ่ทุกชุดใน Range สามารถเลือก Bet ออกมาได้) เพราะเหตุใด ยกตัวอย่างเช่น QQ, JJ ฯลฯ ในสถานการณ์นี้ ซึ่ง Solver ได้แนะนำไว้เช่นเดียวกัน เนื่องจากไพ่ที่ Call มาได้ของ CO สามารถชนะ QQ, JJ ได้ ดังนั้น กลยุทธ์การเล่นคือ Check 100%
แผนการเล่นของคุณที่ Turn ซึ่งขณะนี้เปลี่ยนจาก Top-Pair ไปเป็น Second Pair โดยสามารถชนะไพ่ที่คู่ต่อสู้ Bluff หรือที่เรียกว่า Bluff Catcher เท่านั้น ด้วยราคา 1/3 Pot ที่ SB Bet นั้นทำให้มีความคุ้มค่าที่จะ Call
จากภาพจะเห็นว่า ไ่พ่ใน Range ของ SB ควรเล่นอย่างไร ซึ่งจะเห็นได้ว่า JJ ที่เลือก Bet ที่ Turn นั้น จะเสีย EV 1BB ในทุกๆ 5 ใน 10 ครั้ง
เมื่อเราทราบกลยุทธ์ทั้งหมดจากไพ่ที่เปิด Showdown เราสามารถนำมาปรับเป็นกลยุทธ์ในการแข่งขันของเราได้ จากตัวอย่างที่ตัดสินใจ Call ด้วย Kx ที่เป็น Second Pair และหมอบไพ่คู่ที่ต่ำกว่าไป เราควรปรับกลยุทธ์โดยเพิ่มการ Bluff ด้วยการ Raise ให้มากขึ้นกว่าปกติกับคู่ต่อสู้ที่เล่น Aggressive เกินจาก GTO โดยใช้ไพ่ที่มีความแข็งแกร่งไม่มาก (มี Equity เหลืออยู่น้อยมาก ในกรณีที่คุณถือ A หรือ K)
ยกตัวอย่าง เช่น 7x ที่ควร เลือก Raise กลับมาให้มากขึ้นกว่าปกติที่ Solver แนะนำได้
สรุปบทความ
ผู้เล่นโป๊กเกอร์มักจะวางแผนการเล่นโดยตั้งคำถามว่า “เราควร Fold หรือไม่?” หรือ “เราควร Bet ที่ River หรือไม่?” แต่ข้อมูลที่สำคัญที่สุดก็คือสิ่งที่คุณเห็นด้วยตาเมื่อไพ่เปิดขึ้นมา นั่นก็คือไพ่ที่เปิด Showdown
เรียนรู้จากการแข่งขันจริง
– คู่ต่อสู้ของเรามีแผนการเล่นอย่างไร? ไพ่ในมือของเขาเป็นอย่างไร? มีข้อผิดพลาดที่เราสามารถระบุได้หรือไม่ เช่น พวกเขานำไพ่ที่ควรเช็คเท่านั้นมา Raise หรือ Bet หรือไม่?
– ขนาด Bet-Size สัมพันธ์กับความแข็งแกร่งของไพ่ในมือของเขาหรือไม่? เขาเลือกใช้ Range-Bet ในขณะที่เขามี Range ที่สามารถทำได้หรือไม่?
เพื่อพัฒนาการเล่นโป๊กเกอร์ของคุณ
คิดอย่างมีเหตุผลว่าไพ่ที่ Showdown เผยให้คุณทราบกลยุทธ์ของคู่ต่อสู้ของคุณอย่างไร และด้วยเหตุนี้จึงพิจารณาว่าแผนการ Exploit ใดที่จะใช้เอาชนะพวกเขาในอนาคต สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งคือต้องเข้าใจว่าผู้เล่นทุกคนมีระบบและแผนการเล่นที่ปรับตัวเพื่อความอยู่รอดและชัยชนะอยู่ตลอด ดังนั้น แม้แต่ผู้เล่นโป๊กเกอร์ที่แย่ที่สุดก็ยังมีลักษณะของการวิเคราะห์ผู้เล่นในแบบของพวกเขามีแผนการเล่น และธรรมชาติของนักกีฬาโป๊กเกอร์
ตัวอย่างเช่น หากคุณ Bet ที่ River 10 ครั้งแล้วพบว่าคุณไม่เคย Bluff เลย คู่ต่อสู้ก็จะหมอบมากขึ้นกว่าปกติเมื่อเจอคุณ Bet อีกครั้ง หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์ในการช่วยมองหาจุดอ่อนของคู่ต่อสู้และสร้างกลยุทธ์ในการเล่นจาก Showdown