TAG คืออะไร?
Tight-Aggressive หรือ TAG คือแนวทาง “เล่นคัดแฮนด์ แต่เล่นให้ดุดัน” เลือกเปิดเล่นไม่กี่แฮนด์ แล้วขับเกมเชิงรุกเมื่อเข้าไปในพอท แนวนี้เวิร์กมากเมื่อ 10 ปีก่อน ตอนคู่แข่งหลวมและเล่นผิดพลาดบ่อย แม้แต่ Mike McDermott ใน Rounders (1998) ยังแนะนำอาจารย์ให้เล่นแบบนี้
แต่โป๊กเกอร์วันนี้ไม่ง่ายแบบนั้นแล้ว คู่แข่งแข็งแรงขึ้น ไม่ยอมจ่ายเราง่ายๆ เมื่อเห็นว่าเราลงชิปเฉพาะตอนถือแฮนด์แรงล้วนๆ
สรุปสั้นๆ: TAG แบบเก่าแทบใช้ไม่ได้ ส่วน LAG (Loose-Aggressive) ก็ยากเกินไปสำหรับผู้เล่นที่ยังไม่ชำนาญ เพราะต้องบริหารเรนจ์กว้างมาก ทางออกคือ “อัปเกรด TAG ให้ทันสมัย” ด้วยการบาลานซ์เรนจ์ และยอมเล่นแบบ Passive ในจังหวะที่ควร
ด้านล่างคือไฮไลต์จาก Session 100NL ของ Doug Polk (The Poker Lab) ที่สาธิตว่าจะบาลานซ์เกม Post-Flop ที่ดุดัน ด้วย “ความนิ่ง” ที่จำเป็นได้อย่างไร
ดุดัน vs นิ่ง: จะเหยียบคันเร่งหรือปล่อยไหลดี?
โดยหลัก เราควรเป็นฝ่ายรุก เพราะผู้รุกมีสองทางชนะ ชนะที่โชว์ดาวน์ หรือบังคับให้คู่ต่อสู้หมอบ และการเป็นคนกำหนด Sizing, Thin Value Bet, Overbet Bluff จะบีบให้คู่แข่งพลาดมากขึ้น
แต่ยุคนี้การกดดันพร่ำเพรื่อใช้ไม่ได้แล้ว ผู้เล่นคอลดีขึ้น ป้องกันกว้างขึ้น Trap มากขึ้น แม้สเตคต่ำก็อ่านเกมเป็น เพราะมีคอนเทนต์สอนเต็มไปหมด เราจึงต้องรู้จัก “ถอนคันเร่ง” ในบาง Texture/บางคู่ต่อสู้ ให้เกมไหลเข้าหาเราเอง
ทำไม TAG ต้อง “อัปเกรด”
ผู้รุกมีสองทางชนะ (บังคับหมอบหรือชนะที่โชว์ดาวน์) แต่ยุคนี้คนคอลดีขึ้น ป้องกันกว้างขึ้น Trap มากขึ้น ถ้าคุณยิงพร่ำเพรื่อโดยไม่แยกแยะ Texture/คู่ต่อสู้ จะเผาเงินเปล่า
การบาลานซ์เรนจ์สำคัญขึ้น คุณต้องรู้ว่าในจุดหนึ่งๆ เรนจ์คุณมี Value เท่าไหร่ Semi-Bluff เท่าไหร่ สัดส่วนพอไหมสำหรับ Sizing ที่ใช้
ความนิ่งเชิงกลยุทธ์ (Selective Passivity) บางบอร์ด/บางคู่แข่ง “ไม่ยิงคือ +EV สูงกว่า” เพราะคุณเก็บส่วนของเรนจ์ที่อ่อนแอไว้ ป้องกัน Over-Bluff และบังคับให้คู่ต่อสู้เปิดไพ่ก่อน
พื้นฐานการตัดสินใจของ TAG สมัยใหม่
คิดเป็นเรนจ์ก่อนเสมอ
ถามตัวเองทุก Street:
- เราอยู่ตรงไหนในเรนจ์รวมของตัวเอง (บน/กลาง/ล่าง)?
- เรนจ์คู่ต่อสู้บนบอร์ดนี้หน้าตาอย่างไร (ใครมี Range Advantage/Nut Advantage)?
- ถ้าจะยิง ควรยิงด้วยแฮนด์นี้ไหม เมื่อเทียบกับ Semi-Bluff ตัวอื่นที่มี Backdoor/Blocker ดีกว่า?
เลือกความดุดันตาม “ตารางคร่าวๆ”
ตำแหน่ง: ดุดันสุดบน BTN/CO ระวังขึ้นเมื่อ OOP
ประเภทบอร์ด:
- แห้ง (A-7-2r, K-5-5r): ยิงได้บ่อย แต่คุมสัดส่วนบลัฟ เลือกแฮนด์ที่มี Backdoor ดี
- กึ่งเปียก (Q-J-4r, T-8-3r): ยิงได้แต่ต้องมี Equity/Overcard และแผนเทิร์น
- เปียก/ไดนามิก (8-6-5, K-Q-J Two-Tone): ลดความถี่ C-bet เลือกยิงเฉพาะที่มี Equity ดี/บล็อกดี
- Paired/Monotone/4-Flush: ยิงด้วยเรนจ์ที่บาลานซ์ (อย่าปล่อยให้ริเวอร์โดน Exploit)
สแต็ก:
- ตื้น (<15BB): แผนเรียบง่าย ยิง/ดันด้วยแฮนด์ที่มี Equity ดี
- กลาง (20–60BB): จุดยากสุด ต้องชั่งความดุดันกับความเสี่ยงโดน Check-Raise
- ลึก (80BB+): เล่น Multi-Street Value/Pressure ได้ แต่ต้องคิดแผนครบสามถนน
กรณีศึกษา 1: เล่น TAG ใส่ “Nit” ต้องลดเกียร์ลง
สถานการณ์:
- 100NL, $81 Effective
- BB ถือ ATo vs BTN Open
- Flop Q-4-3r เช็ค/เช็ค
- Turn T♥
อินสติ้งแรกคือ Probe Bet ใส่เทิร์นด้วยคู่สิบ (Second Pair) แต่ Doug เห็น HUD ว่า BTN เข้าพอทแค่ ~9% (Sample 22 แฮนด์) = โคตร Tight/Passive จึงเช็คแทน แล้วพร้อมคอลถ้าโดน Stab และถ้าอีกฝั่งเช็คกลับ ค่อย Value Bet ริเวอร์ (ถ้าการ์ดปลอดภัย)
แม้ Sample จะเล็ก แต่เมื่อเจอ “พฤติกรรมสุดโต่ง” (Tight/Loose ชัดเจน) ก็พอเอามาปรับแผนได้
ข้อคิด: เจอ Nit ให้ขยับทุกอย่างลงหนึ่งสเต็ป เล่น Value อนุรักษ์นิยมขึ้น เพราะเรนจ์เขาแข็งกว่าค่าเฉลี่ย ไม่มีใครอยาก Value-Own ตัวเองใส่ Nit
เหตุผลเชิงเรนจ์:
- Nit จะมาถึงเทิร์นด้วยเรนจ์ที่ “หนา” กว่าปกติ ถ้ายิง Thin Value เกิน = เสี่ยง Value-Own
- เรารักษาเรนจ์เช็คให้แข็งขึ้น (มี Second Pair/Top Pair บางส่วน) ป้องกันโดนยิงพร่ำเพรื่อ
กรณีศึกษา 2: เป็น PFR บน Ace-High Flop ไม่ต้อง C-bet เสมอไป
สถานการณ์:
- 100NL, $153 Effective
- BTN เปิด Q♠6♥ โดน SB/BB คอล
- Flop A-x-x (แห้ง) เช็คมาหา BTN
แม้บอร์ดดูแห้งและน่า C-bet แต่ Doug เลือกเช็คตาม เพราะ BTN Range ของเขาเต็มไปด้วย Category 3 Semi-Bluff ที่ดีกว่า Q6o มาก (เช่นมี 5, มี 3, หรือ Two Spades/Backdoor ดีๆ อย่าง JTs) ถ้าเรา C-bet ด้วยแฮนด์ Backdoor แย่ๆ เราจะ Over-Bluff
ทางที่ถูกคือดูทั้งเรนจ์ ถ้ามี Draw สำหรับ Semi-Bluff เยอะอยู่แล้ว ให้พัก “ตัวที่อ่อนสุด” ไว้เช็ค ไม่ต้องยิงทุก Draw ทุกครั้ง
หลักจำง่าย: อย่า Semi-Bluff ทุก Draw เลือกเฉพาะตัวที่ดีที่สุดในเรนจ์ และพักตัวที่อ่อนสุดไว้เช็ค
กรณีศึกษา 3: บอร์ด Monotone/4-Flush อย่านิ่งเกินจนโดน Exploit
สถานการณ์:
- 100NL, $100 Effective
- CO ถือ J♥J♦ เปิด
- BB คอล
- Flop Monotone เรามี Overpair + 1-Card Flush Draw → C-bet
- Turn กลายเป็น 4-Flush → ยังยิงต่อ
หลายคนเลือกเช็คเทิร์นเพื่อ “เซฟ” แต่ Doug แนะนำว่า ควร Bet เทิร์น ด้วย Mid-Flush/1-Card Flush บางส่วน
เพราะ:
- ป้องกัน Check-Raise Exploit: เรามีหลายแฮนด์ที่มี A♥/K♥ ในเรนจ์ด้วยไลน์เดียวกัน ทำให้ BB Check-Raise Bluff ยาก
- เลี่ยงริเวอร์ยากๆ: ถ้าไปเช็คเทิร์นแล้วค่อยยิงริเวอร์ เราเปิดช่องให้โดน Check-Raise บลัฟใส่ตอนเรนจ์ดูไม่ Capped
- ดูด Value ได้มากขึ้น: ถ้าชะลอทุกอย่างไว้ริเวอร์ เราอาจเสียมูลค่าจากท็อปเรนจ์ตัวเอง (เช่น Ah/Kh)
- เก็บ Thin Value จาก Non-Flush: Two-Pair/Set ที่ยังลุ้นเต็มบ้านมักคอลเทิร์นได้
สรุป: รักษา Balanced Turn Range ด้วยการยิงเทิร์นในสัดส่วนที่เหมาะ จะช่วยทั้ง EV และโครงสร้างเรนจ์ริเวอร์
การจัดเรนจ์:
- เทิร์น 4-Flush: Bet บางส่วนของ Middle/1-Card Flush + Value ที่ชัดเจน (Ah/Kh x) เพื่อบาลานซ์
- แผนรับมือ Check-Raise: บางคอมโบ Call-Fold (คอลเทิร์น/โฟลด์ริเวอร์) หรือ Fold เทิร์น ถ้า Blocker/ตำแหน่งไม่เอื้อ
ขนาดเดิมพัน (Bet Sizing) ที่เข้ากับ TAG สมัยใหม่
Preflop Open: ไม่มี Ante → 2.25–2.5BB (ขยายการขโมย เสียถูกเมื่อโดน 3-bet)
C-bet Flop:
- Board ที่คุณมี Range Advantage ชัด → 1/3 Pot เมนเทนความถี่สูง
- Board ไดนามิก/คู่ต่อสู้ป้องกันกว้าง → ลดความถี่ เพิ่มคุณภาพ (ต้องมี Backdoor/Overcard/Blocker)
Turn: ใช้ 2/3–3/4 Pot เมื่อคุณมี Nut Advantage/เส้นทางยิงสามถนน ใช้ 1/2 เมื่อต้อง Merge เรนจ์ (บาง Value บาง Bluff)
River: Sizing ตามสัดส่วน Value:Bluff ที่ตั้งใจ (เช่น Overbet เมื่อมี Nut Advantage และมี Bluff ที่บล็อกคอลได้ดี)
วิธีคุม “สัดส่วนบลัฟ” แบบลงมือทำ
- ถ้าคุณเลือก Bet 1/3 Pot → ฝั่งรับต้อง Defend ~75% → คุณสามารถมีบลัฟได้ “จำนวนมากกว่า” เมื่อเทียบกับ Sizing ใหญ่
- ถ้าคุณเลือก Bet 100% Pot → ฝั่งรับได้ออดด์ 2:1 → เรนจ์คุณควร Value:Bluff ≈ 2:1 เพื่อไม่เปิดช่องให้ Exploit (แนวคิดเชิงทฤษฎี เกมจริง “ประมาณ” ก็พอ)
- เลือกบลัฟด้วยแฮนด์ที่ Block คอมโบคอลของอีกฝั่ง และมี Showdown Value ต่ำ (เหมาะกับบทบาทบลัฟ)
หมวดแฮนด์ (Hand Categories) ที่ใช้คิดเร็วกลางโต๊ะ
Category 1 – Value ชัด: Top Pair Top Kicker+, Overpair, Strong Two-Pair/Straight/Flush → ยิงเพื่อเก็บเงิน
Category 2 – Bluff-Catch/Showdownable: Second Pair/Weak Top Pair ที่ไม่อยาก Inflate พอท → เช็ค/คอล/คุมพอท
Category 3 – Semi-Bluff: Overcards + Backdoor, Gutshot+Backdoor, BDFD+Overcard → เลือกยิงเมื่อครบ “เงื่อนไข”: ตำแหน่งดี + บอร์ดเหมาะ + มีเทิร์นการ์ดช่วยหลายใบ
Air/Bottom: ส่วนใหญ่เช็คยอม หรือยิงในไลน์/Sizing ที่ทำให้สัดส่วนบลัฟทั้งเรนจ์สมเหตุผล
ปรับตามประเภทคู่ต่อสู้อย่างเป็นระบบ
Nit / TAG แข็ง: ลด Thin Value ลดบลัฟ เน้น Line ตรงๆ เก็บเงินจากความผิดพลาดน้อยๆ
LAG หัวร้อน: ขยายเรนจ์คอล/3-bet เพิ่ม Trap เพิ่ม Check-Raise Bluff ในบอร์ดที่เขายิงบ่อย
คนคอลเยอะ (Calling Station): ลดบลัฟ เพิ่ม Value หนา + Bet ใหญ่ขึ้น
Reg มาตรฐาน: เล่นบาลานซ์ตามทฤษฎี ปรับเล็กน้อยจาก Read/จังหวะ
“ข้อผิดพลาด” ที่ TAG แบบเก่ามักทำ
- C-bet ทุกบอร์ด: ทำให้ Over-Bluff บน Texture ที่ตัวเองเสียเปรียบ → โดน Check-Raise/Float แล้วพังเทิร์น
- Probe/Turn Barrel อัตโนมัติใส่ Nit → Value-Own ตัวเอง
- เช็คทั้งเรนจ์เทิร์นบน 4-Flush → โดน Exploit ริเวอร์ด้วย Check-Raise เสีย Value จาก Ah/Kh
- เลือก Semi-Bluff ผิดตัว: ยิงด้วย Backdoor แย่ ทั้งที่เรนจ์มีตัวเลือกดีกว่า
- ไม่คิดแผนสามถนน: ยิง Flop/Turn แบบ “เดี๋ยวไป Improvise ที่ริเวอร์” → ถึงริเวอร์แล้วเรนจ์เอียง/สัดส่วนเพี้ยน
เช็กลิสต์ “TAG เวอร์ชันยุคใหม่”
- Preflop: TAG ได้ แต่ไม่แคบจนอ่านง่าย เก็บ Linear 3-bet บ้าง vs Late ไม่ C-bet ออโต้ทุกบอร์ด
- Vs Nit: ลดเกียร์ เล่น Value แคบ-หนาแน่น อย่าฝืน Thin Value/Big Bluff เกินจำเป็น
- Ace-High/แห้ง: เลือก Semi-Bluff ที่ดีที่สุดเท่านั้น ตัวอ่อนสุดพักเช็ค
- Monotone/4-Flush: อย่าเช็คทั้งเรนจ์ Bet เทิร์นด้วยบางส่วนของ Mid-Flush/1-Card Flush เพื่อบาลานซ์และเก็บ Value
- Range First: คิดเป็นเรนจ์เสมอ เรามี Value/บลัฟพอไหม? มี Backdoor ดีพอไหม? เรา Over/Under-Bluff หรือเปล่า?
สรุป
อย่าคิดว่า TAG = ดุดันตลอดเวลา ความต่างของผู้ชนะในเกมยุคนี้คือ รู้ว่าเมื่อไรควรเร่ง และเมื่อไรควรผ่อน วิเคราะห์ Texture/คู่ต่อสู้/สแต็ก แล้วเลือกเส้นที่บาลานซ์ที่สุดสำหรับเรนจ์ของตัวเอง เท่านี้ TAG รุ่นอัปเดตของคุณก็พร้อมทำกำไรในเกมสมัยใหม่แล้ว











