การ “ติดฟลัชที่เทิร์น” คือหนึ่งในโมเมนต์ที่รู้สึกดีที่สุดในโป๊กเกอร์ แต่จะคุ้มแค่ไหนอยู่ที่ “วิธีเล่น” ของคุณ
บทความนี้สรุป 3 แนวทางทำเงินเมื่อคุณ hit Flush ที่ Turn โดยโฟกัสสถานการณ์ที่เจอบ่อยที่สุด:
Defend Big Blind (BB defend) ใน Single-Raised Pot — ซึ่งคุณจะมี suited hands จำนวนมากตั้งแต่ Preflop ทำให้ Flush Turn เกิดขึ้นได้บ่อยเป็นพิเศษ
เคล็ดลับที่ 1: เจอ Double Barrel ต้องมี “Check-call ลด้วยฟลัช” บางส่วนเสมอ
ความผิดพลาดร้ายแรงเมื่ออยู่นอกตำแหน่ง (OOP) คือทำให้ Range ถูก “ครอบ” (Capped) — คือเส้นทางที่คุณเลือกเล่นไม่มีมือแรงมากอยู่เลย (Flush / Straight / Two Pair / Set ฯลฯ) ผู้เล่นเก่งจะมองออกทันที แล้วกดคุณด้วยการเบ็ตใหญ่และถี่
ตัวอย่าง:
คุณ defend BB บอร์ด K♦-7♣-5♣ Flop คุณ check-call Turn มา T♣ คุณ check อีก ครั้ง BTN ยิงต่อ (Double Barrel)
ถ้าคุณ raise ทุกครั้งที่มี Flush คุณจะเหลือ check-call range ที่มีแค่ Two Pair หรือ Set เป็นหลัก
ส่งผลให้คู่ต่อสู้กล้า Overbet ถี่ ๆ เพราะ “รู้” ว่าคุณไม่มี Flush ไว้ call ลง
หลักการเล่น:
- แบ่งฟลัชเป็นสองส่วน: Check-call กับ Check-raise ใส่ฟลัชไว้ในทั้งสองไลน์เพื่อปกป้องเรนจ์ของคุณ
- โดยมาก ฟลัชที่มี K♣ จะ call บ่อยกว่า และฟลัชอื่น ๆ ให้ “ผสม” ระหว่าง call กับ raise(ไม่มีสูตรตายตัว แต่ต้องมีทั้งสอง)
ใจความสำคัญ: อย่าให้เส้นทางไหนของคุณ “ไร้ฟลัช” เด็ดขาด มิฉะนั้นจะโดน exploited ด้วย bet ใหญ่ ๆ
เคล็ดลับที่ 2: ถ้าคู่ต่อสู้ Check Back Flop —ให้ “ผสมแผน” ตอนเทิร์น
คำแนะนำคลาสสิกคือ “อย่าสโลว์เพลย์” ซึ่งดีสำหรับมือใหม่ แต่เมื่อคุณเข้าใจเกมมากขึ้น การสโลว์เพลย์ “บางจังหวะ” มีค่ามาก ทั้งด้านการดึงมูลค่าและการปกป้องเรนจ์ โดยเฉพาะเมื่อคุณอยู่นอกตำแหน่งที่มืออ่อน ๆ ของคุณ “ไม่มีสิทธิ์ check back” เพื่อรับไพ่ฟรี
สถานการณ์: บอร์ดเดิม K♦-7♣-5♣ เทิร์น T♣ แต่ครั้งนี้ BTN Check Back Flop
- ตอนเจอ Check Back แล้วคุณติดฟลัชเทิร์น: สลับแผนให้ครบ — มีทั้ง Probe Bet, Check-raise, และ Check-call
- ถ้าคุณเช็ก แล้ว BTN ยิง ดีเลย์ C-bet มา: ให้ call / raise (เอนเอียงไปทางคอลมากกว่าเล็กน้อย) เพื่อไม่ให้เขาขโมย EV ด้วยการยิงเลทบ่อยเกินและใหญ่เกิน
ใจความสำคัญ: ไม่ว่าคุณจะ “check” หรือ “bet” เทิร์น—ต้องมีฟลัชอยู่ในทุกไลน์ เพื่อกันไม่ให้ BTN ใช้ไซซิ่งใหญ่กดดันคุณแบบไร้ทางสู้
เคล็ดลับที่ 3: เมื่อคู่ต่อสู้ Check Back Flop — Probe Turnด้วย “ขนาดกลาง” เป็นหลัก
Probe Bet คือการที่ผู้เล่น OOP ยิงใส่คู่ต่อสู้ที่ “มีโอกาส C-bet ในสตรีทก่อน แต่ไม่ยิง”
ในสถานการณ์ที่ BTN Check Back Flop แล้วคุณติดฟลัชที่เทิร์น:
- เลือก ขนาดกลาง เป็นหลัก (เช่น เดิมพันประมาณ ⅔ พอต ใส่พอตที่ถูก Check Back มา)
- แต่ควร ผสม Overbet บางส่วน ได้เช่นกัน โดยพิจารณาจาก Nut Advantage — ในไลน์นี้คุณมีฟลัชมากกว่าฝั่ง BTN จึงมีเหตุผลที่จะใช้ไซซ์ใหญ่เพื่อรีดมูลค่า
ทำไมไม่ Overbet ตลอด? เพราะโดยทฤษฎี BTN ควร Check Flush Draw บางส่วน บนฟล็อปเพื่อปกป้องเรนจ์ของเขาเอง หากคุณ Overbet ทุกครั้ง เทิร์นเขาจะคอลได้ “เฉพาะมือแรงมาก” ส่งผลให้คุณ เบ็ตบาง (Thin Value) กับมืออย่าง Top Pair ได้น้อยลง
แนวทางเชิงปฏิบัติ:
- ถ้าคิดว่า BTN “ฉลาดพอ” ที่จะ Check Back Flush Draw บางส่วน → ยึดขนาดกลางเป็นหลัก
- ถ้าคิดว่า BTN “ไม่ค่อย Check Backdoor เลย” → ขยับไซซ์ใหญ่ขึ้น (รวมถึงOver Betได้)
สรุปแนวคิด
- อย่าให้เรนจ์ถูกครอบ เมื่อเจอ Double Barrel: ต้องมีฟลัชในทั้งไลน์เช็ก-คอลและเช็ก-เรส
- เจอ Check Back Flop: mix Probe / Check-raise / Check-call ให้ครบ เพื่อปกป้องทุกไลน์
- Probe Turn หลังCheck Back Flop : ใช้ ขนาดกลางเป็นหลัก และเติม Over Bet เมื่อคุณมี Nut Advantage ชัดเจนและอ่านได้ว่าฝั่งตรงข้ามไม่มีการปกป้องเรนจ์มากพอ
การติดฟลัชทำให้ผิดหนัก ๆ ได้ยากก็จริง แต่การเล่นให้ “คุ้มที่สุด” ต้องอาศัยการปกป้องเรนจ์ในทุกเส้นทาง และการเลือกไซซิ่งที่สอดคล้องกับโครงสร้างเรนจ์ของทั้งสองฝ่าย











