เราได้เห็นวิวัฒนาการของกลยุทธ์ในการแข่งขันโป๊กเกอร์ที่มีการพัฒนาและปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา แต่มีหนึ่งกลยุทธ์ที่พิสูจน์ให้เห็นอย่างต่อเนื่องว่าสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับคุณได้มากที่สุด นั่นคือกลยุทธ์การ Check-Raise จากตำแหน่ง Big-Blind
การเล่นเมื่ออยู่ที่ตำแหน่ง Big-Blind
ผู้เล่นโป๊กเกอร์ส่วนใหญ่ทราบดีว่าการเล่นจากตำแหน่ง Big-Blind เป็นตำแหน่งที่มี Range ที่ใช้ในการ Call กว้างกว่าตำแหน่งอื่น โดยพื้นฐานแล้วอยู่ที่ประมาณ 60% ถึง 85% ของ Range ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดชิปของคุณ (Stack), ตำแหน่งของคู่ต่อสู้ (Position) และขนาดเดิมพัน (Raise-Size) ที่คู่ต่อสู้เลือกใช้ หมายความว่าคุณต้องเรียนรู้วิธีเล่นไพ่ในกลุ่มที่ไม่เคยเล่นในตำแหน่งอื่น เช่น 64o หรือ J5s
จากช่วงไพ่ที่กว้างและค่อนข้างอ่อนแอที่ผู้เล่น Big-Blind นำมาใช้ หากมีโอกาสติด Top-Pair ที่มี Kicker ธรรมดา ซึ่งอาจมีความแข็งแกร่งปานกลางในตำแหน่งอื่น แต่สำหรับแผนการเล่นที่ Big-Blind กลับมีความแข็งแกร่งพอที่จะใช้ Check-Raise เพื่อ Value ได้
ตัวอย่างสถานการณ์จริง
ในการเล่นคุณเลือก Call คู่ต่อสู้ที่ Raise จากรอบ Pre-Flop ด้วยไพ่ K♥ J♥
ไพ่ Flop ออกมาเป็น K♣ 6♦ 2♣
คุณเหลือชิปอยู่ 40BB และเลือก Check ในขณะที่คู่ต่อสู้ C-bet ด้วยขนาดเล็กที่ 1/3 ของ Pot (2BB บน Pot 6BB)
ผู้เล่นหลายคนอาจเลือก Call เท่านั้น โดยมีแนวคิดว่า “ไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยน K ที่เป็น Top-Pair ไปเป็น Bluff และไม่ต้องการให้คู่ต่อสู้หมอบไพ่ที่แย่” แต่ในโป๊กเกอร์ปัจจุบัน ผู้เล่นที่ดีจะใช้ Check-Raise ตรงนี้ในกรณีที่ต้องการ Bluff โดยใช้ไพ่อย่าง Gut-Shot (54o), ไพ่ Backdoor Flush เช่น A♣ 3x รวมถึงไพ่ K ที่มี Kicker แข็งแกร่งอย่าง KQ, KJ และ KT เพื่อนำมาสร้าง Value
สำหรับขนาดที่ควรใช้ในการนำมา Check-Raise นั้นไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ขนาดที่ใหญ่จนเกินไป เราสามารถ ใช้ขนาด 5.5BB สำหรับการ Check-Raise ที่คู่ต่อสู้ C-bet ด้วยขนาด 2BB คุณสามารถทำความเข้าใจเพิ่มเติมจากภาพแผนการเล่นด้านล่าง เมื่อคู่ต่อสู้ถูก Check-Raise จะเลือกตัดสินใจอย่างไร ในทางทฤษฎีเกม
แผนภาพแสดงให้เห็นถึงแนวทางการตัดสินใจเมื่อคู่ต่อสู้ถูก Check-Raise ที่ 5.5BB สีแดงคือ Raise สีเขียว Call และสีน้ำเงิน Fold จะเห็นได้ว่า คู่ต่อสู้ยังสามารถ Call ไพ่ใน Range ของเขาแทบทั้งหมด ทำให้เราสามารถสร้างกำไรด้วยการ Check-Raise ให้สูงมากยิ่งขึ้นได้
เหตุผลที่แนะนำให้ใช้การ Check-Raise ด้วยขนาดเล็ก
- เมื่อใช้ Check-Raise เพื่อ Bluff จุดประสงค์หลักคือกดดันไพ่ที่ไม่แข็งแกร่งใน Range ของคู่ต่อสู้ เช่น QJo, J8s หรือ ATo ที่ไม่มี Backdoor Flush จากภาพประกอบจะเห็นว่ามีประมาณ 30% ที่คู่ต่อสู้จะเลือก Fold ซึ่งให้กำไรจากการชนะชิปกองกลาง 13.5BB จากการ Raise 5BB ซึ่งเป็นสัดส่วนความเสี่ยง/ผลตอบแทนที่คุ้มค่า หากเลือกเพิ่มขนาดเป็น 8BB ไพ่ที่นำมา Bluff จะต้องการให้คู่ต่อสู้ Fold มากขึ้นเพื่อรักษาสัดส่วนดังกล่าว
- การเลือก Check-Raise ขนาดเล็กนี้ยังช่วยรักษาและเพิ่มมูลค่าของไพ่ที่มี Equity สูง เช่น ไพ่คู่ที่ต่ำกว่า K หรือ AQ-AT ที่มีดอกจิก ♣ ซึ่งอาจพัฒนาและชนะใน Pot ที่ใหญ่ขึ้นได้ในท้ายที่สุด
การปรับขนาด Check-Raise ให้เหมาะสม
สิ่งสำคัญคือการปรับขนาด Check-Raise ให้สัมพันธ์กับขนาดการ C-Bet ของคู่ต่อสู้ เช่น หากคู่ต่อสู้ C-Bet ด้วยขนาดเล็กกว่า 20% ของ Pot เราควรปรับ Check-Raise อยู่ที่ประมาณ 3-4 เท่า หากคู่ต่อสู้ C-Bet 75% ของ Pot เราอาจลดขนาดลงเหลือประมาณ 2.2 เท่า การเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ในการกำหนดขนาดนี้ช่วยให้มั่นใจว่าการเล่นของเรายังคงสัดส่วนที่ถูกต้องเมื่อเทียบกับขนาด Pot ทำให้มีประสิทธิภาพสูงสุดในทุกสถานการณ์
การเล่นด้วย Check-Raise เป็นโอกาสสำคัญในการดึงชิปจากคู่ต่อสู้ในรอบ Flop ขณะที่ยังคงมีโอกาสทำกำไรในรอบ Turn ในทางปฏิบัติ กลยุทธ์นี้ช่วยให้ได้กำไรสูงสุดจากไพ่ที่ไม่แข็งแกร่งของคู่ต่อสู้ ผู้เล่นส่วนใหญ่มักจะเลือก Check และ Call ด้วย Top-Pair เช่น K ที่มีมูลค่าเพียง 2BB และ Check ต่อที่ Turn ในขณะที่คู่ต่อสู้อาจเลือก Check (Control Pot) หากไพ่ของเขาไม่แข็งแกร่ง
จากนั้นคุณอาจ Bet ที่ River เมื่อ Pot อยู่ที่ 10BB และ Bet 6BB ซึ่งหากคู่ต่อสู้ Call ด้วยคู่สิบ คุณจะได้กำไรราว 6BB ในขณะที่หากเลือกใช้กลยุทธ์ Check-Raise คุณอาจได้รับกำไร 16-24BB แน่นอนว่าคุณจะไม่ชนะทุกครั้ง แต่การนำกลยุทธ์ Check-Raise ไปใช้ในแผนการเล่นเมื่ออยู่ที่ตำแหน่ง Big-Blind จะเปลี่ยนแปลงเกมของคุณไปตลอดกาล