คุณมีแผนการเล่นไพ่คู่กลางถึงคู่เล็กอย่างไรบ้าง? โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในตำแหน่ง Late Position หรือ Big Blind
หากกลยุทธ์หรือวิธีเล่นโป๊กเกอร์ของคุณคือการ Call ด้วยราคาถูกเพื่อหวังติด Set หรือที่เรียกว่า Set-Mine ใช่หรือไม่? นี่แหละคือจุดที่มือโปรแตกต่างจากมือสมัครเล่น พวกเขามีแผนการเล่นที่หลากหลายและยืดหยุ่น
มาดูกันว่าคุณสามารถพัฒนาแนวทางเล่นไพ่คู่ให้ได้เปรียบมากกว่าการหวังติด Set เพียงอย่างเดียวได้อย่างไร
มาดูตัวอย่างในการเล่นโป๊กเกอร์ NLH
คู่ต่อสู้อยู่ที่ตำแหน่ง Button เลือกที่จะ Open-Raise จนมาถึงคุณที่ Big-Blind มีชิปหน้าตัก อยู่ที่ 40BB ด้วยไพ่คู่ 4 (Pocket 4)
มันก็ดูจะเป็นแผนการเล่นที่สมเหตุสมผลที่จะ Call เพื่อเข้าไปติด Set เนื่องจากคุณเพิ่มชิปอีก เล็กน้อยเพื่อจะเข้าไปเล่นที่ Flop และหากไม่ติดอะไรคุณก็สามารถหมอบได้ง่ายๆ ไม่ต้องคิดอะไรให้ซับซ้อน
แต่โอกาสที่จะเกิดขึ้นมีเพียง 1 ใน 7 ครั้ง ดังนั้นการนำ Small Pocket Pairs มาเล่นเพียงเพื่อจะพยายามติดเซ็ตหมายความว่าคุณอาจเสีย Equity ไปมากในกรณีที่ไม่ติด
ถึงแม้คู่ต่อสู้จะยังไม่ติดอะไรบนบอร์ด และในความเป็นจริงไพ่คู่ 4 ของคุณยังนำอยู่ คุณก็คงไม่สามารถ Call ได้หากคู่ต่อสู้ของคุณ C-Bet บนบอร์ดที่มีไพ่สูง (ไม่สามารถ Realize Equity ได้) หรือ คุณอาจเสียชิปที่มีจากการพยายามเล่นให้ถึง Showdown
จากภาพด้านบนเราใช้โปรแกรมจำลองแผนการเล่นของคุณที่ตำแหน่ง Big-Blind เราแบ่งไพ่ออกเป็นกลุ่มๆ สำหรับการเล่น สีน้ำเงินคือไพ่ที่ต้องหมอบ ยกตัวอย่างเช่นไพ่ 94o ไพ่ในกลุ่มสีเขียวที่แนะนำให้ Call สีแดงอ่อนคือไพ่ในกลุ่มที่แนะนำให้ Raise ส่วนไพ่ในกลุ่มสีแดงเข้มคือไพ่ในกลุ่มที่แนะนำให้ All-in
ซึ่งจากภาพคุณจะเห็นได้ว่าไพ่ในกลุ่ม ไพ่คู่ ตั้งแต่ 8 8 ลงมา โปรแกรมแนะนำให้ All-in ไม่มีการเล่นที่แนะนำให้ Call เพื่อ Set-Mine เลย ซึ่งคุณอาจแย้งว่ามันเป็นแผนการเล่นที่เสี่ยงเนื่องจากคู่ต่อสู้อาจมีไพ่ที่แข็งแกร่งพอ และพร้อมที่จะ Call เราได้ซึ่งอาจจะมีไพ่ที่ชนะเรารวมอยู่ด้วย เพื่อเป็นการตรวจสอบว่าแผนการเล่นนี้ถูกต้องหรือไม่เรามาดูว่า คู่ต่อสู้ที่ตำแหน่ง BTN จะมีแผนการเล่นตอบสนองอย่างไร
จากภาพด้านบนเราพบว่าเป็นความจริงที่คู่ต่อสู้จะ Call ด้วยไพ่ที่ดีกว่า (ในที่นี้คือ 44 ที่เราใช้เป็นตัวอย่าง) เท่ากับไพ่ราวๆ 60 Combo จากทั้งหมด 155 Combo ซึ่งหมายความว่ายังมีไพ่อีก 95 Combo ที่เรายังชนะ หรือ นำอยู่ ที่ต้องมาลุ้นแบบ 50-50 ถึงแม้ว่ามันจะดูไม่ค่อยน่าเล่นสักเท่าไหร่ แต่หากคุณลองมองภาพสีน้ำเงิน นั่นคือไพ่ที่คู่ต่อสู้เลือกที่จะหมอบเมื่อถูก All-in ซึ่งมีมากถึง 77% ซึ่งหากคุณ Call เขาจะมีไพ่เหล่านี้เข้ามาเล่น ลองนึกภาพว่าไพ่ทีเปิดขึ้นบนบอร์ดที่สูงกว่า 4 (ไพ่ของเรา) เราจะเล่นต่ออย่างไร?
ในทางปฏิบัติกลยุทธ์นี้อาจประสบความสำเร็จมากกว่าที่ GTO แนะนำไว้ เนื่องจากคู่ต่อสู้อาจจะหมอบมากกว่าปกติในการเล่นจริง (Over-Fold)
แล้วในสถานการณ์แบบไหนที่การ Set-Mine ควรถูกนำมาใช้ในแผนการเล่นของเรา?
เราใช้ตัวแปรต่างๆ เช่นเดียวกันกับหัวข้อที่แล้ว แต่เปลี่ยนตำแหน่งของคู่ต่อสู้จาก Button เป็น ตำแหน่ง Under-the-gun (UTG)
จากภาพด้านบนแสดงแผนการเล่นที่ Solver แนะนำ ซึ่งเราจะพบว่ามันมีความแตกต่างจากแผนการเล่นแรก คำถามคือ ทำไมกลยุทธ์ในการเล่นถึงเปลี่ยนแปลงไป? ซึ่งคำตอบอยู่ที่ Range ของไพ่ที่คู่ต่อสู้จากตำแหน่ง UTG นั้นมีความ แตกต่างจาก BTN ดังภาพ
จากภาพเราจะพบว่า Range ของคู่ต่อสู้จากตำแหน่ง BTN มีความกว้างกว่า คู่ต่อสู้จากตำแหน่ง UTG ถึง 2.5 เท่า
นั่นทำให้เมื่อเรานำไพ่เข้าไปเล่นกับคู่ต่อสู้ที่ตำแหน่ง BTN เมื่อเราติด Set แต่คู่ต่อสู้นำไพ่มาเล่นกว้างมากทำให้มีโอกาสสูงที่เขาจะไม่มีไพ่ที่ดีพอที่จะ Call ทำให้คุณไม่มีโอกาสทำกำไรได้มาก (เขามักจะเลือกหมอบไปเสียก่อนโดยส่วนใหญ่) ต่างจากคู่ต่อสู้ที่ตำแหน่ง UTG ที่ Range ของไพ่เขานั้นค่อนข้างแคบ นั่นทำให้มีโอกาสสูงที่เขาจะมีไพ่ที่แข็งแกร่งเข้ามาเล่น หรือติดอะไรบางอย่างที่ Flop ที่แข็งแกร่งพอที่คุณจะสามารถทำกำไรจากเขาได้
และจากเหตุผลดังกล่าวที่เราได้ศึกษาผ่านมาว่า หากเรา All-in ใส่ผู้เล่นที่ตำแหน่ง BTN มีโอกาสที่เขาจะหมอบให้มากเนื่องจาก Range ที่เขานำมาใช้เล่นนั้นกว้าง แต่หากเป็น UTG เขามี Range ไพ่ที่ค่อนข้างแคบทำให้มีโอกาสที่เขาจะ Call All-in ได้ง่ายกว่ามาก
การติด Set จะได้ผลดีกว่าเมื่อคู่ต่อสู้มีไพ่ที่แข็งแกร่ง เพราะพวกเขาจะมีแนวโน้มที่จะสู้จนหมดหน้าตัก แต่หากคู่ต่อสู้เล่นไพ่กว้าง Wide Range วิธีที่ดีที่สุดในการเอาชนะพวกเขาคือการเล่นอย่างดุดัน แม้ว่าจะถือคู่เล็กก็ตาม
ดังนั้นอย่าติดนิสัย วางกับดัก (Set-Mining) แบบไร้จุดหมาย ในสถานการณ์เหล่านี้ เพราะคุณอาจพลาดโอกาสทำกำไรให้สูงที่สุดไป!