เทคนิคการเลือกขนาด Bet-size ที่มีประสิทธิภาพ

การเลือกขนาด Bet-size ที่เหมาะสมเมื่อต้องการทำ Value Bet และ Bluff เป็นปัญหาที่ผู้เล่นโป๊กเกอร์ส่วนใหญ่เผชิญหน้า

“เมื่อใดก็ตามที่ Range ของผู้เล่นในขณะที่ต้องตัดสินใจ Bet เป็น Perfect Polarize หมายความว่า ใน Range ของเขาประกอบไปด้วย Hand ที่เป็น Bluff และรวมถึงมี Nuts ซึ่งก็คือ 100% Equity รวมอยู่ด้วย”

ในบทความนี้เราจะกล่าวถึงการเลือกขนาด Bet-size ที่เป็น Geometric Bet-size ซึ่งใช้ในกรณี Value Bet โดยวิธีคำนวณทางคณิตศาสตร์ที่จะคำนวณขนาด Bet-size โดยแบ่งเป็นสัดส่วน (หรือ %) เทียบกับขนาดของ Pot เพื่อให้ท้ายสุดสามารถ Stack-off (ชนะชิปทั้งหมด) หรือได้ผลตอบแทนที่มากที่สุดจากคู่ต่อสู้ ในขณะที่ไม่ทำให้คู่ต่อสู้หมอบทิ้งไพ่ไปเสียก่อน ขณะเดียวกัน การ Bluff นั้นไม่ได้ต้องการให้คู่ต่อสู้หมอบทิ้งไปเสียทีเดียวแต่หวังจะทำกำไรจากการที่คู่ต่อสู้เลือก Call สตรีทใดสตรีทหนึ่งและ Fold ในท้ายที่สุด เพื่อการทำกำไรให้สูงที่สุด

 

ในการนำไปแข่งขันจริงเรามักจะมีไพ่ที่ไม่ใช่ Polarize อย่างสมบูรณ์ คือมีไพ่ที่ไม่ใช่ Nuts แต่มีความแข็งแกร่ง หากเรานำการ Bet ด้วยวิธีนี้ไปใช้ ก็อาจจะเป็นการเล่นที่ Over-play (การตัดสินใจที่มากหรือเกินกว่าความจำเป็น) ซึ่งจากการ Bet โดยเลือกใช้ Bet-size ดังกล่าว จะทำให้คู่ต่อสู้เลือกไพ่ที่แข็งแกร่งใน Range ของเขาที่สามารถเล่นได้ Call เข้ามาเล่น นั่นหมายถึงโดยส่วนใหญ่จะเป็นไพ่ที่ชนะเรา

 

บางครั้งเราอาจเลือก Bet-size ที่มีขนาดใหญ่โดยไม่ได้อ้างอิงกับขนาดของ Pot โดยส่วนใหญ่ของกลยุทธ์นี้ก็เพื่อกดดันให้คู่ต่อสู้หมอบไพ่ที่ดีกว่าทิ้งไปนั่นเอง แต่ยังมีเหตุผลที่น่าสนใจดังนี้:

  • การเลือก Bet-size ที่ใหญ่เพื่อให้สามารถ All-in ได้โดยที่ไม่ต้องเล่นจนถึง River ช่วยลดความเสียเปรียบจากการเล่น OOP (Out of Position) ให้ลดลงจากการที่ต้องตัดสินใจเล่นก่อนทุกรอบ
  • ลดค่า SPR (Stack-to-Pot Ratio) ลงทำให้การตัดสินใจของคู่ต่อสู้ที่จะนำไพ่ Draw มาลุ้นโดยหวัง implied odds ไม่คุ้มค่า
  • เมื่อค่า SPR ต่ำลงทำให้การ Bet เป็นสัดส่วน Pot ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากความคุ้มค่าที่แข็งแกร่งของคู่ต่อสู้นั้นไม่สามารถหมอบได้
  • ทำให้ Range Polarize มากยิ่งขึ้น ทำให้คู่ต่อสู้ไม่สามารถ Bet หรือ Raise กลับมาโจมตีเราได้

เมื่อเราทำความเข้าใจ Concept ของการเลือกขนาด Bet-size แล้วเรามาลองดูตัวอย่างเพื่อให้สามารถเข้าใจการเลือกขนาด Bet-size ได้ดียิ่งขึ้น

 

ตัวอย่างที่ 1: Pre-Flop เรายกตัวอย่างการเล่นโป๊กเกอร์บนโต๊ะ 6 ผู้เล่น ทุกคนหมอบหมดจนมาถึงผู้เล่นที่ตำแหน่ง SB เป็นคน Open-Raise ที่ 3bb (สามารถอ่านบทความเกี่ยวกับ “วิเคราะห์แผนการเล่นเมื่อ Small Blind C-bet” ได้ในเว็บไซต์ของ เทหน้าตัก) การเล่นนี้อาจจะทำให้คุณประหลาดใจ เนื่องจาก AI แนะนำให้ All-in ถึง 3.4% ดังภาพด้านล่าง

 

 

โดย Range ของ SB ที่เลือก Open Jam ประกอบไปด้วยไพ่:

  • JJ ที่ต้องการสร้างกำไรจากไพ่ของ BB ที่ถือ Pocket ที่ต่ำกว่า ได้แก่ TT-66 และหมอบไพ่ Ax, Kx และ Qx ทิ้งไป ซึ่งจะเป็นไพ่ที่ BB คงเลือกที่จะเล่นโดยการ 3-Bet
  • AKo ที่ต้องการสร้างกำไรจากไพ่ AQ และหมอบไพ่ในกลุ่ม Suite-Connect กลางๆ เช่น 87, 65 ที่ BB มี Equity มากกว่า 40% และความคุ้มค่าจาก Implied Odds
  • AQo ที่ต้องการสร้างกำไรจากไพ่คู่ต่ำ และ Suite-Connect ต่างๆ ที่มี Equity ประมาณ 50%
  • KQs, KJs และ QJs ที่ต้องการกดดันให้ไพ่ที่ดีกว่าอย่างเช่น AQo, KJ และ AJ ของ BB หมอบทิ้งไป และยังพอมี Equity อยู่ประมาณ 50% หากถูก Call ด้วย Pocket Pair ต่างๆ

อย่างไรก็ตาม SB ยังมีทางเลือกที่จะเล่นด้วยการ 4-Bet All-in เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ตามที่เราได้ศึกษาที่ผ่านมา:

  • ลดปัญหาที่ต้องเล่นเสียเปรียบตำแหน่งในการเล่นในทุกๆ รอบหลังจากนี้
  • ป้องกัน Hand ไม่ให้เข้ามาสร้างความคุ้มค่าจาก Implied Odds หลังจากที่ Flop เปิดแล้วติด Top-Pair หรือมี Draw ที่สามารถเล่นต่อได้ ยกตัวอย่างเช่น AQo หรือ 54s
  • ในกรณีที่ BB ชิปหน้าตัก Deep การ All-in ก็จะเป็นทางเลือกที่ยากลำบากสำหรับ BB ในการ Call เข้ามาเล่นต่อ

 

ตัวอย่างที่ 2: Flop เรายกตัวอย่างสถานการณ์ที่ผู้เล่นที่ตำแหน่ง BTN เป็นผู้ Open-Raise และถูกผู้เล่นที่ตำแหน่ง BB 3-Bet และ BTN Call Flop เปิดออกมาเป็น J♠T♠8♥ BB เลือกที่จะ All-in ด้วยขนาด Bet-size ราวๆ 3x Pot ด้วยความถี่ประมาณ 28%

จากภาพเราเห็นได้ว่า BB เลือกที่จะ All-in ใน Range ที่แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลักดังนี้:

  • Top-Pair Top-Kicker ขึ้นไป ที่พิจารณาเป็นไพ่ในกลุ่มที่เป็น Value เช่น AA, KK, QQ และ AJ ที่ต้องการทำกำไรจากไพ่ในกลุ่ม Pocket Pair กลางๆ และบังคับไพ่ที่กำลัง Draw ให้หมอบ เช่น AQ, A♠5♠, และ KQ ที่มี Out พอให้เล่นต่อ แต่ไม่ควรที่จะ All-In สำหรับไพ่ในกลุ่มที่แข็งแกร่งมากๆ ยกตัวอย่างเช่น Set JJ
  • Top-Pair ที่มี Kicker ไม่ดี หรือไพ่คู่กลางๆ เนื่องจากบอร์ดที่ค่อนข้างอันตราย ที่ต้องการให้ไพ่ที่ดีกว่าหมอบและคาดหวังให้ไพ่ที่แย่กว่า Call ยกตัวอย่างเช่น BB All-in ด้วย T♦9♦ โดยคาดหวังให้ BTN Call ด้วยไพ่ 9♠9♥ และ 9♣8♣ และให้หมอบไพ่ เช่น K♥T♥ และ K♦J♦
  • Draw ไพ่ในกลุ่มนี้มีจุดประสงค์เป็น Semi-Bluff โดยคาดหวังให้คู่ต่อสู้หมอบและยังเหลือ Out พอให้กลับมาชนะได้หากคู่ต่อสู้ Call

 

ตัวอย่างที่ 3: Turn จากตัวอย่างเดียวกันกับสถานการณ์ในตัวอย่างที่ 2 โดยเปลี่ยนจากการที่ BB เลือกที่จะ C-bet All-in เป็น Check-Call ที่ BTN เลือกที่จะ Bet ½ Pot และไพ่ที่ Turn เปิดออกมาเป็น Q♥

 

จากภาพแสดงสถานการณ์ที่ผู้เล่นตำแหน่ง BB เลือกที่จะ Check-Call Flop กับผู้เล่นที่ตำแหน่ง BTN J♠T♠8♥ Q♥ Solver เลือกให้ผู้เล่นตำแหน่ง BB ใช้กลยุทธ์ Donk-Bet โดยเลือกใช้ขนาด Bet-size 2 ขนาดที่ประมาณ 50% ของ Pot และ Over-Pot ที่ 139% ของ Pot ด้วย Range ของผู้เล่นที่ตำแหน่ง BB มี Straight อยู่ถึง 37% เมื่อเทียบกับตำแหน่ง BTN ที่มีอยู่ราวๆ 20%

 

สรุปบทความ 

การเลือกใช้ขนาด Bet-size ที่มีประสิทธิภาพช่วยให้เราสามารถทำกำไรจากคู่ต่อสู้ให้มากที่สุด ซึ่งได้แสดงจากตัวอย่างที่เลือกมาทั้ง 3 ตัวอย่าง ทำให้เห็นว่าขนาดที่เลือกสามารถช่วยให้คุณสร้างกำไรจาก Bet-size ได้ไม่น้อยกว่ากลยุทธ์ในด้านอื่นๆ คุณจึงควรนำ Bet-size เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ของคุณ

Share to