หนึ่งในความซับซ้อนที่ทำให้โป๊กเกอร์แตกต่างจากเกมอื่น ๆ คือ “ความไม่แน่นอน” ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าไพ่ของคู่แข่งคืออะไร หรือฟลอป เทิร์น ริเวอร์ จะเปิดอะไรออกมา แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือ นักโป๊กเกอร์ระดับโลกกลับเลือกเพิ่ม “ความสุ่ม” เข้าไปในการตัดสินใจของตัวเองอีกด้วย
พูดง่าย ๆ คือ เหมือนการทอยลูกเต๋าเพื่อตัดสินใจว่าจะเดินหมากกี่ช่องในเกม Monopoly
ก่อนจะไปถึงการสุ่ม มาลองทำความเข้าใจกับแนวคิด การตัดสินใจตามความถี่ (Frequency-based Decision Making) กันก่อน
กลยุทธ์ที่เหมาะสมต้อง “ผสมผสาน”
การสร้างกลยุทธ์โป๊กเกอร์ที่ “ใกล้เคียงกับการเล่นที่เหมาะสมที่สุด” (optimal play) มักเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจบางอย่างในอัตราส่วนที่แน่นอน เช่น เมื่อได้อัตรา pot odds 2 ต่อ 1 ต้องเลือก call อย่างน้อย 33% ของ range เพื่อไม่ให้ถูก exploit
กล่าวอีกแบบคือ บางสถานการณ์ การเล่นที่ดีที่สุดไม่ใช่การทำแบบเดียวทุกครั้ง แต่เป็นการ “สุ่ม” เลือกการกระทำต่าง ๆ ด้วยความถี่ที่ตั้งไว้ล่วงหน้า
ลองนึกภาพเกมแคช 3-handed:
- Player A เลือกทำสิ่งเดิมเสมอกับทุกคอมโบของ AQo → เมื่อ call ปุ่ม open เราจะตัด AQo ออกจาก range ของเขาทันที
- Player B ใช้ mixed strategy → AQo 3-bet 85% และ flat 15% → ทำให้ range สมดุลและอ่านยากกว่า
ผู้เล่นที่ใช้กลยุทธ์ผสมจะป้องกัน range ของตัวเองได้ดี ทำให้คู่แข่งเดาได้ยากขึ้น
ปัญหาของมนุษย์: การ “สุ่ม” ที่ไม่สุ่มจริง
มนุษย์มีอคติที่ทำให้การสุ่มไม่เป็นสุ่มจริง เช่น คิดเลข 1–5 ในหัว ก็มักโน้มเอียงไปที่ตัวเลขใดตัวเลขหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
ถ้าต้องการให้ AQo ถูก 3-bet จาก BB ประมาณ 85% ของเวลา จำเป็นต้องใช้เครื่องมือเพื่อทำให้ความถี่ตรงตามที่ตั้งไว้จริง ๆ
ตรงนี้เองที่ Random Number Generator (RNG) ถูกนำมาใช้
วิธีใช้ RNG ในการตัดสินใจ
การใช้ RNG ช่วยให้ตัดสินใจตามความถี่ที่ตั้งไว้ได้แม่นยำ
- ตั้งค่า RNG ให้สุ่มตัวเลข 1–100
- สมมุติต้องการ 3-bet AJo 33% และ call 67%
→ ถ้าตัวเลขออก 1–33 → 3-bet
→ ถ้าออก 34–100 → call
ซอฟต์แวร์อย่าง StarsHelper มี RNG ฝังในโป๊กเกอร์คลไคลเอนต์ และโปรระดับโลกหลายคน เช่น Fried Meulders ใช้วิธีนี้เพื่อตั้ง range ผสมอย่างสมดุล
ถ้าไม่มี RNG ตอนเล่นสด?
ยังมีวิธีสุ่มแบบง่าย ๆ เช่นใช้ “นาฬิกา”
- ต้องการเล่น 50/50 → นาทีเลขคู่ = call, เลขคี่ = fold
- ต้องการ 33/67 → แบ่งเวลาบนหน้าปัดเป็นสามส่วน (:00–:19, :20–:39, :40–:59)
เทคนิคเล็ก ๆ เหล่านี้ช่วยได้มากกว่าการเดาสุ่มด้วยตัวเอง
เมื่อไรควรใช้ Mixed Strategy?
ข้อดี: ทำให้การเล่นสมดุล ไม่โดน exploit ง่าย
ข้อจำกัด: ไม่จำเป็นทุกสถานการณ์
เช่น ในทางทฤษฎี AA ควร flat บางเปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าเจอโต๊ะ live ที่เต็มไปด้วย limper และ caller การ 3-bet เพื่อ value 100% ย่อมดีกว่า
ดังนั้นการใช้ RNG หรือ mixed strategy เหมาะที่สุดเมื่อต้องการป้องกัน range กับคู่แข่งที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ใกล้เคียงกันทั้งสองทางเลือก เช่น
- Marginal Open-Raising: มืออย่าง 76s UTG ที่เปิดเพียงบางครั้ง เช่น 50%
- 3-Bet Spots: มืออย่าง AJo หรือ KQo ที่ทั้ง call และ 3-bet ได้ → ควรกำหนดความถี่ไว้เพื่อป้องกันการ over-3-bet
- Bluffing Spots: เช่น ถือ 55 บนบอร์ด 9-3-2-4-K → ต้องบาลานซ์ bluff กับ value ด้วยการ raise bluff แค่บางครั้ง (เช่น 50%) เพื่อรักษา ratio ที่เหมาะสม
สรุป
การสุ่มตัดสินใจ (Mixed Strategy) ไม่ได้ทำให้โป๊กเกอร์ “งงงวย” แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความสมดุล ป้องกันการถูก exploit และรักษาอัตราความถี่การเล่นให้ใกล้เคียง optimal ที่สุด
RNG, นาฬิกา หรือเทคนิคสุ่มอื่น ๆ คือเครื่องมือที่ช่วยให้การเล่นเป็นไปตามแผน โดยเฉพาะเมื่อเจอคู่แข่งที่แข็งแกร่ง การเพิ่ม “ความสุ่ม” ในการตัดสินใจกลับทำให้เกมเล่นได้อย่างมีระบบและยากจะถูกอ่านออกมากขึ้น