ในสถานการณ์ที่คุณกำลังแข่งขันโป๊กเกอร์ในรูปแบบทัวร์นาเมนต์ด้วยชิปที่เหลือน้อยราว ๆ 30BB คุณรอไพ่ดี ๆ เพื่อที่จะได้เล่น จนคุณได้รับไพ่ 9♠9♣ ที่ตำแหน่ง CO ทุกคนหมอบหมดจนมาถึงคุณที่เลือก Raise 2bb ผู้เล่นที่ตำแหน่ง BB call เข้าไปเล่นที่ Flop
ที่ Flop ไพ่เปิดออกมาเป็น 7♠4♥2♦ BB check คุณเลือกที่จะ Bet ออกไป 60% ของ Pot (ตามที่ Solver ได้แนะนำ แต่ไม่ได้ใช้ขนาดนี้กับทุกไพ่ ซึ่งถือเป็นข้อผิดพลาดของคุณ) BB call
ไพ่ที่ Turn เปิดออกมาเป็น 5♦ ผู้เล่นที่ตำแหน่ง BB เลือกที่จะ Donk Bet ออกมา 25% ของ Pot ซึ่งก็คือประมาณ 3BB ขณะนี้มีชิปอยู่ที่ Pot 15.6BB และคุณเหลือชิปหน้าตัก 24.5BB บนบอร์ด 7♠4♥2♦ 5♦ คุณยังถือไพ่ที่เป็น Over-Pair ด้วยคู่ 9 คุณจะตัดสินใจอย่างไร?
เรียนรู้จากความผิดพลาด
ในสถานการณ์สร้างความสับสนในการตัดสินใจว่าจะเลือก Shove All-in หรือ Raise กลับไป แผนการเล่นแบบไหนคือการเล่นที่ถูกต้องที่สุด แต่ท้ายที่สุดก็เลือก Shove All-in ตามประสบการณ์ ด้วยเหตุผลว่า “ไพ่ที่เป็น Over-Pair ต้องการที่จะชนะที่ Turn นี้เลย และไม่ต้องการให้คู่ต่อสู้ที่ถือไพ่ที่มีลุ้น หรือ Draw สามารถ Call ด้วยราคาถูก ๆ และหากเลือก Call ไพ่ที่เปิดออกมาที่ River อาจทำให้การตัดสินใจของคุณยากลำบากมากขึ้น เพราะชิปที่หน้าตักเหลือน้อยเกือบเท่ากับ Pot แล้ว” ถ้าเป็นคุณ คุณคงจะสามารถเลือกคำตอบที่ถูกต้องได้จากหัวข้อของบทความนี้ที่บอกว่า ไม่ควร Shove All-in แต่ขอให้คุณศึกษาทำความเข้าใจเพื่อให้เกิดประโยชน์ในการนำไปใช้จริง
หากเรานำสถานการณ์นี้ไปจำลองการแข่งขันด้วย Solver โดยมีทางเลือกระหว่าง Shove All-in และ Re-Raise 50% Pot จะพบว่า Solver แนะนำให้ Re-Raise 100% หรือทุกครั้ง โดยที่ไม่มี Shove All-in เลย
จากภาพด้านล่าง เป็นการจำลองสถานการณ์ในตัวอย่างของเรา พบว่า Solver แนะนำให้ Raise 50% ของชิปที่คุณมีอยู่ และหากผู้เล่นที่ตำแหน่ง BB Shove All-in จึงควรพิจารณาที่จะ Fold ¼ ของไพ่ใน Range ของคุณที่เลือก Raise ไปเมื่อสักครู่ ถึงแม้ว่าความคุ้มค่าที่ได้จาก Pot Odds จะอยู่ที่ 4:1 ก็ตาม อะไรคือเหตุผลที่ Solver เลือก
เทคนิคการแก้ปัญหาการเล่นในรอบ Pre-Flop ไม่เหมือนกับการเล่นที่ Turn
การเล่นในรอบ Pre-Flop ไม่มีไพ่ใน Range ของผู้เล่นที่ตำแหน่ง CO ที่มี Equity น้อยกว่า 33% เทียบกับคู่ต่อสู้ หากต้อง Call All-in นั่นหมายความว่าเมื่อใดที่คุณวางชิปไปแล้ว 1/3 ของชิปหน้าตักของคุณ คุณจะต้องไม่ยอม Fold ให้กับการ Shove All-in ใด ๆ ที่จะเกิดขึ้น แต่เทคนิคดังกล่าวไม่สามารถนำมาใช้ได้กับการเล่นที่ Turn ดังตัวอย่างข้างต้น เพราะ 2:1 Odds ที่ได้ในรอบ Pre-Flop นั้นจะเปลี่ยนแปลงไปจากไพ่ที่เปิดขึ้นบนบอร์ดนั่นเอง
จากภาพแสดงให้เห็นไพ่ในกลุ่มที่จำเป็นต้องหมอบเมื่อตัดสินใจ Raise กลับไปยังผู้เล่นที่ตำแหน่ง BB ที่เลือก Donk Bet แล้ว Shove All-in
เหตุผลที่เลือก Fold แทนที่จะ Call ?
สิ่งที่น่าประหลาด และไม่สมเหตุสมผลกับที่เราเคยศึกษามาก่อนคือการแนะนำให้ Fold ไพ่ เช่น AQ หรือ 33 ซึ่งอาจจะเป็นไพ่ที่นำอยู่ หรืออย่างน้อยก็ยังมี Out พอที่จะกลับมาชนะได้ ทำไมถึงต้อง Fold? กลยุทธ์ที่สามารถนำมาใช้ได้คือการ Call หรือ Shove All-in เองได้หรือไม่?
จากการปรับกลยุทธ์ให้มีทางเลือกเพียง All-in หรือ Call ปรากฏว่า Solver เลือก Call 40% และ All-in 33%
ประโยชน์ที่ได้จากการ ไม่ควร Shove All-in
หลังจากที่เราเข้าใจจากตัวอย่างสถานการณ์การเล่นที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่า Solver มีตัวเลือกให้ All-in ถึง 33.5% แต่ทำไมเราไม่ควร All-in? คำตอบก็คือเนื่องจาก EV จากการ Raise ในขนาดต่าง ๆ ให้ผลตอบแทนที่มากกว่า
นอกจากนี้การเลือก Raise (ในที่นี้ควรเลือกขนาดเล็ก ที่ประมาณ 50% ของ Pot) ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าเนื่องจากกลยุทธ์ Donk-Bet ของผู้เล่นตำแหน่ง BB นั้นประกอบไปด้วยไพ่ในกลุ่มที่มีความอ่อนแอประกอบอยู่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะผู้เล่นทั่วไปที่มักจะ Donk-Bet ด้วยไพ่ที่ไม่ได้แข็งแกร่งมากกว่าปกติ
กลยุทธ์ที่เลือก Raise จึงเป็นการ Bluff ให้ไพ่เหล่านั้นมีความยากลำบากในการตัดสินใจเล่นต่อ ซึ่งเป็นความคุ้มค่าเป็นอย่างยิ่งจากการลงทุน ในทางกลับกัน หากเลือก Shove All-in นั่นหมายถึงคุณลงทุนกับการเล่นในครั้งนี้ทั้งหมด โดยไม่มีทางเลือกอื่นที่จะสามารถแก้ไขได้อีก
สรุปบทความ
คุณไม่สามารถเป็นนักกีฬาโป๊กเกอร์ที่ประสบความสำเร็จได้จากการจดจำวิธีการเล่น แต่ไม่เข้าใจถึงหลักการว่าทำไมถึงตัดสินใจเลือกเช่นนั้น สิ่งสำคัญก็คือเมื่อคุณนำการเล่นมาวิเคราะห์ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เข้าใจว่าเพราะเหตุใด Solver ถึงเลือกเล่นแตกต่างจากการเล่นทั่วไป? ผลตอบแทนที่เลือกมีแบบใดบางที่ทำกำไรได้สูงสุดในการเล่น? มีเทคนิคใดที่สามารถนำไปปรับใช้ในการเล่นอื่นๆ ในอนาคตได้บ้าง? คุณก็จะเป็นนักกีฬาโป๊กเกอร์ที่ประสบความสำเร็จในที่สุด