คุณอาจเคยคิดว่าการศึกษาพื้นฐานของทฤษฎีโป๊กเกอร์ขั้นสูงควรจะเริ่มศึกษาหลังจากที่คุณเข้าใจทฤษฎีพื้นฐานอย่างมั่นคงแล้วเพียงเท่านั้น ซึ่งในความเป็นจริงการเรียนรู้พื้นฐานนั้นเป็นเพียงครึ่งทางของการศึกษาโป๊กเกอร์ของคุณ ปัจจุบันการศึกษาพื้นฐานการเล่นช่วยให้คุณสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ที่ไม่เข้าใจพื้นฐานเหล่านั้นได้เท่านั้น จุดประสงค์ของบทความนี้คือการให้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อให้คุณเข้าใจ และมีวิธีการคิดเช่นเดียวกัน หรือเหมือนกันกับผู้เล่นโป๊กเกอร์มืออาชีพ
เมื่อคุณได้เรียนรู้พื้นฐานและมีความเข้าใจเกี่ยวกับทฤษฎีพื้นฐานแล้ว ในบทความนี้จะได้นำแนวคิด เกี่ยวกับทฤษฎีโป๊กเกอร์ที่สูงขึ้น รวมถึงแนวคิดต่างๆ มาแนะนำเพื่อสร้างรายได้ โดย กำจัดข้อผิดพลาดที่คุณอาจไม่ทราบ โดยแบ่งเป็นหัวข้อดังนี้
สำหรับหัวข้อที่เราจะทำการเรียนรู้ในบทความนี้
- กำหนดการเล่นใดที่เป็นการเล่นที่เป็นกำไร และ การเล่นที่ไม่เป็นกำไร
- กำหนดกลยุทธ์ กับ ยุทธวิธี
- เพิ่มผลกำไรให้สูงที่สุดทุกครั้งที่ตัดสินใจ
- มองภาพรวมของ Range
- มีความพร้อม อ่านความเสี่ยง
กำหนดการเล่นใดที่เป็นการเล่นที่เป็นกำไร และการเล่นใดที่ไม่เป็นกำไร
สำหรับในหัวข้อแรกที่จะนำเสนอคือการนำแนวคิด และทฤษฎีที่สามารถนำมาใช้ หรือพบได้ในการเล่นจริงนั่นคือชัยชนะ และผลกำไรที่เกิดขึ้นจากโป๊กเกอร์นั้นมาจากความผิดพลาดจากการเล่น หรือการตัดสินใจพลาดของคู่ต่อสู้! คุณจะมองเห็นจุดนั่นที่คู่ต่อสู้ของคุณพลาดได้อย่างไร?
จุดผิดพลาด หรือ Leak คืออะไร?
จุดผิดพลาด หรือ Leak คือการเล่นหรือตัดสินใจโดยที่มีค่าความคาดหวังที่เราเรียกว่า EV มีค่าเป็นลบ (-EV) อยู่ในการตัดสินใจ ซึ่งนั่นถือเป็นข้อผิดพลาดที่จะส่งผลเป็นลบในระยะยาว
อะไร ? คือสาเหตุของการเล่นที่ผิดพลาด หรือในบางมุมมองที่เรียกว่าจุดรั่ว? ในโป๊กเกอร์
ผู้เล่นส่วนใหญ่คิดว่าความผิดพลาด หรือจุดรั่วในการเล่นของเขาคือการที่เขาแพ้ หรือเสียชิปในการเล่นของเขาเพียงแค่นั้น ไม่ว่าจะเป็นการที่ Re-Raise All in แล้วพบว่าคู่ต่อสู้ของคุณ มีไพ่ Monster ที่แทบไม่มีโอกาสชนะได้เลย เช่นการที่ถือ AK ไปเจอคู่ต่อสู้ของเขาถือ AA แต่เชื่อหรือไม่! ความผิดพลาด หรือจุดรั่วในการเล่นไม่ใช่ที่กล่าวมาข้างต้นเลย
แล้วข้อผิดพลาดในโป๊กเกอร์คืออะไร?
เมื่อผู้เล่นโป๊กเกอร์มืออาชีพพูดคุยเกี่ยวกับข้อผิดพลาด เขาจะหมายถึงสถานการณ์ที่เขาไม่สามารถเล่นได้อย่างเหมาะสมที่สุด ในการเล่นนั้นๆ หรือ Optimal นั่นเอง ตัวอย่างเช่น เมื่อเขากลับมา Review หรือทบทวนการเล่นที่ River ก็พบว่าการ Bet ครั้งนั้นจะมีมือที่แย่กว่าสามารถ Call มาดูไพ่ของเขาได้ เขารับรู้ว่าเขาทำผิดพลาด และทำให้ตัวเองต้องสูญเสียรายได้ระยะยาว
ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์เดียวกันนี้เกิดขึ้นอีกครั้ง เขาก็จะปรับการ Bet เสียใหม่ไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้นอีก ในทำนองเดียวกันเมื่อผู้เล่นมืออาชีพศึกษาเกี่ยวกับความผิดพลาดของคู่ต่อสู้ เขามักจะมุ่งศึกษาไปที่ข้อผิดพลาดในกลยุทธ์ หรือแผนการเล่นที่ทำให้คู่ต่อสู้สูญเสียในระยะยาว ตัวอย่างเช่น เขาอาจสังเกตคู่ต่อสู้ที่ตำแหน่ง Blinds ที่มักจะ Call เข้าไปเล่นทุกครั้ง ดังนั้นเขาจึงมองเห็นข้อผิดพลาดของคู่ต่อสู้ และสามารถปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือได้
กลยุทธ์กับยุทธวิธี
ถึงตรงนี้คุณทราบแล้วว่าความสำเร็จในการทำกำไรของคุณนั้นขึ้นอยู่กับการเล่นที่มีข้อผิดพลาดน้อยกว่าคู่ต่อสู้ของคุณ ซึ่งจะเป็นเช่นนั้นได้นั้นเกิดจากพื้นฐานการเล่นโป๊กเกอร์ของคุณ เปรียบเทียบได้กับการเล่นหมากรุกว่าเราสามารถนำความคิดในการจัดการตัวหมากออกมาได้มากขนาดไหน สำหรับโป๊กเกอร์นั้นขึ้นอยู่กับการที่เราสามารถ นำแผนทฤษฎีเกมการเล่นออกมาใช้ได้ใกล้เคียง และเหมาะสมหรือไม่
ในหมากรุกมีสองสิ่งที่เราต้องนำออกมาใช้อยู่ตลอดเวลานั่นก็คือ แผนการเล่น และยุทธวิธี เมื่อแผนการเล่นคือเล่นอย่างรัดกุมไม่ให้ ขุน หรือ King ถูกรุกจน ขณะที่ต้องบุกไปกำจัด หรือ รุกขุน(King) ฝ่ายตรงข้ามด้วย ซึ่งมันประกอบไปด้วยยุทธวิธีที่ใช้เป็นระยะๆ คือ ต้นกระดานกลางกระดาน และปลายกระดาน เพื่อให้เป็นไปตามแผนการเล่นโดยรวมโป๊กเกอร์ก็เช่นเดียวกัน
พื้นฐาน = กลยุทธ์ (แผนการเล่น)
กลยุทธ์ หรือ แผนการเล่น ของคุณในการเล่นโป๊กเกอร์ ก็คือความรู้พื้นฐานทฤษฎีต่างๆ ส่วนวิธีการเล่น หรือAction ต่างๆที่คุณเลือกเล่นในกรอบของแผนการเล่นนั้น เปรียบเสมือนยุทธวิธี
ดังนั้นการเรียนรู้ทฤษฎีขั้นสูง ก็เหมือนมีกรอบการเล่นที่กว้างมากขึ้น มียุทธวิธีในการเล่นมากขึ้น สิ่งนี้จะช่วยให้คุณสามารถพัฒนากระบวนการคิดได้กว้างขวางมากขึ้น เปรียบกับการที่คุณมีอาวุธหลากหลายแบบที่จะทำลายคู่ต่อสู้ ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ และหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดได้ง่ายขึ้น โปรดจำไว้ว่าหากคุณไม่แน่ใจว่าต้องทำอย่างไร ให้กลับไปที่พื้นฐานเสมอและตัดสินใจว่าการเล่นแบบยุทธวิธีใดที่เหมาะกับกลยุทธ์โดยรวมของคุณมากที่สุด
เพิ่ม EV = เพิ่มผลกำไรให้สูงที่สุดทุกครั้งที่ตัดสินใจ
หมายถึงการทำกำไรให้สูงที่สุดเมื่อคุณชนะเงินกองกลาง และสูญเสียน้อยที่สุดเมื่อคุณแพ้ และนี่คือหลักสำคัญที่สุดในการเล่นโป๊กเกอร์ แต่ในความเป็นจริงบางครั้งการเล่นในขณะที่ EV เป็นบวก (EV+) อาจไม่ใช่การเล่นที่ทำกำไรมากที่สุดก็เป็นไปได้ (เลือกการเล่นที่ มี EV น้อยกว่าอีกทางเลือกหนึ่ง แต่คู่ต่อสู้ ผิดพลาดทำให้ได้เราสามารถมีกำไรมาก) นอกจากนี้ในการเล่นบางครั้งของเราที่ไม่ได้สนใจในรายละเอียดมากนัก เพียงแค่ชนะเท่านั้นก็พอ นั่นยิ่งจะทำให้ในระยะยาว จะทำให้ผลการเล่นเราแย่ลง
แนวทางการเพิ่มผลกำไร
เริ่มต้นด้วยพื้นฐานความเข้าใจและระเบียบวินัย
พื้นฐานความเข้าใจเกมจะสร้างสถานการณ์การเล่นที่่ง่ายเทำให้เกิดความง่ายในการทำกำไร และ ช่วยลดการตัดสินใจยากๆ ซึ่งเมื่อเราทำความเข้าใจแล้วว่าสถานการณ์ที่ทำกำไรได้มากที่สุดคืออะไร เราจะสามารถสร้างสถานการณ์นั้นๆให้เกิดขึ้นเพื่อทำกำไรได้แทนที่จะนั่งเฉยๆรอให้มันมาเรา
โป๊กเกอร์เป็นเกมที่ที่เกี่ยวข้องกับผู้เล่น
เพิ่มผลกำไรสูงสุด เราต้องปรับกลยุทธ์ของเราอย่างต่อเนื่องให้เหมาะสมกับสถานการณ์ด้วยเหตุนี้เราต้องพิจารณาว่าผู้เล่นต่างๆบนโต๊ะเป็นผู้เล่นประเภทใด กำลังทำอะไร ประสิทธิภาพในการตัดสินใจของเราขึ้นอยู่กับข้อมูลทั้งหมดนี้
“พิจารณาสถานการณ์บนโต๊ะ แม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม”
มองภาพรวม ของ Range
วิธีที่จะจัดการ Range เพื่อให้ง่ายและนำไปใช้งานคือการแบ่งกลุ่มตามลักษณะ และความแข็งแกร่งของมัน เพื่อนำไปใช้วางแผนการเล่นโดยทั่วไปแล้ว ผู้เล่นมืออาชีพในเกมโป๊กเกอร์จะมีแนวทางมาตรฐานที่แนะนำให้นำไปใช้สำหรับการเล่นในระดับต่างๆ และกับคู่ต่อสู้ประเภทใดประเภทหนึ่ง แน่นอนว่าการปรับเปลี่ยนเล็กๆ น้อยๆ นั้นสามารถทำได้เพื่อให้ตรงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ตรงหน้าขณะนั้น
และนี่คือคำแนะนำในการแบ่งRange ตามกลุ่มของความแข็งแกร่งให้คุณทดลองนำไปใช้งาน
- กลุ่มที่ 1 คือ กลุ่มที่เมื่อเปิด Flop มาแล้ว จะมี Hand ต่างๆ ใน Range เป็น Nut เป็น Hands ที่คุณจะไม่มีวันหมอบ และ พร้อมที่จะ All-in ซึ่งได้แก่ 2-pair ,3 of a kind หรือ ตอง , Flush หรือ สี ,Straight หรือ เรียง ,Full-house ขึ้นไป
- กลุ่มที่ 2 คือ กลุ่มที่ แข็งแกร่ง แต่ไม่ได้เป็น Nut ได้แก้ Hands ประเภท Top-pair ที่มี Kicker ที่ดี หรือ ประเภท Draws ที่ลุ้นไปเป็น Nut เช่นลุ้นสี ที่มี A เป็นต้น
- กลุ่มที่ 3 คือ กลุ่มที่ มีแค่ Showdown เป็นกลุ่มที่ชนะได้แค่ คู่ต่อสู้ที่ ไม่ติดอะไรบนบอร์ด หรือ ลักไก่ เท่านั้น แต่ไม่ดีนักกับไพ่ในRange ของคู่ต่อสู้ที่เป็น Value ranges
- กลุ่มที่ 4 คือ กลุ่มที่ยังไม่ติดอะไรบนบอร์ดเลย และ ยังไม่มี Showdown และ ยังไม่สามารถพัฒนาได้อีกด้วย
ประเภทของ Range ที่ได้แบ่งกลุ่มไว้ดังกล่าวข้างต้นมีความเกี่ยวข้องและต่อเนื่องกับสถานการณ์การเล่นในรอบ Pre-flop และการเล่นของคู่ต่อสู้ของเรา ซึ่งการแบ่งกลุ่มของ Range ออกเป็นกลุ่มยังช่วยให้เรา Balancing การเล่นของเรา ไม่ให้คู่ต่อสู้ของเราสามารถคาดเดาไพ่ในมือของเราได้ง่ายอีกด้วย หรืออธิบายให้เข้าใจได้ง่ายๆ ว่าเมื่อเราทราบว่าไพ่เราอยู่ในกลุ่มใด ก็บังคับการเล่นให้เหมือนเดิมกระจายออกไปยังทุกๆ กลุ่มใน Range
แบ่งกลุ่มประเภทของไพ่จากความแข็งแกร่ง
การจัดประเภทของไพ่ของคุณ ตามกลุ่มของความแข็งแกร่งนั้นไม่ได้มีกฎตายตัว
ยกตัวอย่างเช่น ไพ่ Top-Pair ของคุณ นั้นอาจจะใหญ่มาก หรือเป็น Nuts เมื่อคู่ต่อสู้ของคุณเป็นผู้เล่นประเภท Loose หรือมันอาจกลายเป็นไพ่ที่แย่กว่ากลุ่มที่ 2 ลงมาได้ ถ้าต้องเจอคู่ต่อสู้ ที่ Tight ดังนั้นการจัดกลุ่มควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ประกอบไปด้วย ไม่ว่าจะเป็น การเล่นในรอบ Pre-flop , ประเภทของคู่ต่อสู้ , ภาพลักษณ์ของคุณบนโต๊ะ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เกี่ยวเนื่องประกอบกันเป็นความแข็งแกร่งของไพ่ของคุณ เมื่อคุณทำความเข้าใจในเรื่อง Ranges จนชำนาญ จะช่วยให้คุณพัฒนาการเล่นได้อย่างรวดเร็ว
มีความพร้อมอ่านความเสี่ยง
ในโป๊กเกอร์มีความพร้อม หมายถึง คุณพร้อมที่จะ All-in ด้วยไพ่ในมือที่คุณถือกับคู่ต่อสู้คนนี้ บนบอร์ดนี้ ซึ่งมีความเกี่ยวพันกับความแข็งแกร่งของไพ่มือของคุณ หรือ Range ของคุณ หรืออาจจะแปลง่ายๆ ก็คือเมื่อใดก็ตามที่คุณมีโอกาสชนะมาก คุณก็พร้อมที่จะลงชิปไปเยอะๆ และ ถ้าคุณมีโอกาสน้อยที่จะชนะคุณก็ไม่อยากที่จะลงชิปเพิ่มลงไปแล้ว เครื่องมือที่เราจะใช้เป็นตัวตัดสินใจว่าจะลงชิปมากน้อยเพียงใดตามความแข็งแกร่งของไพ่ นั่นก็คือ “Stack-to-pot ratios” หรือ SPR นั่นเอง
Stack-To-Pot-Ratios
SPR นั้นคือขนาดของชิปหน้าตักเทียบกับขนาดของ Pot หรือ เงินกองกลาง แนวคิดเกี่ยวกับ SPR นั่นเกี่ยวข้องความผูกพันระหว่างความแข็งแกร่งของไพ่ในมือกับชิปที่ลงทุนลงไปเทียบกับ ผลตอบแทน เพื่อให้เกิดความเข้าใจได้ง่าย เราใช้ตัวอย่างเพื่ออธิบาย ดังนี้หากคุณมีชิป หน้าตักเหลือ 28 ชณะที่ชิปกองกลางหรือ Pot มีขนาด 5 ดังนั้น SPR มีค่าเท่ากับ 5.6 (stack=28 / Pot=5)
SPR บอกอะไรกับเรา?
SPR บอกว่าเราควรเสี่ยงเล่นกับ ผู้เล่นคนนั้น (ดูชิปของเขา) มากน้อยเพียงใด ชิปเขามีน้อย ทำให้อาจบังคับให้เราต้อง Call หรือ All-in ได้ง่าย ไม่ว่าไพ่เราจะไม่ได้ใหญ่มาก เช่น Top-Pair หากชิปของคู่ต่อสู้ มีมาก และมีการ All-In นั่นหมายความว่าไพ่ที่เราถืออาจไม่ได้ใหญ่พอที่จะ Stack off
สุดท้ายนี้คุณได้เรียนรู้ทฤษฎีพื้นฐานในระดับ Advance เพื่อที่จะพัฒนาการเล่นโป๊กเกอร์ของคุณให้ประสบความสำเร็จไปข้างหน้าได้อย่างมั่นใจ โปรดจำไว้ว่าสิ่งที่จะช่วยให้คุณสามารถเพิ่มความสำเร็จให้คุณได้ก็คือการที่คุณมีความเข้าใจทฤษฎีพื้นฐานต่างๆ อย่างมั่นคงและใช้มันได้อย่างถูกต้อง รวมถึงสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือค้นหาวิธีการเล่นที่เข้ากับบุคลิก และลักษณะนิสัยของคุณให้มากที่สุด