“หมอบไพ่จับบลัฟของคุณไปเถอะ เพราะคู่ต่อสู้มักจะมีไพ่ดีจริง!” แม้ว่าจะถูกต้องในบางสถานการณ์ แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะถูกต้องในทุกกรณี ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดที่พบได้บ่อย ความคิดแบบนี้สามารถทำให้กราฟรายได้ของคุณตกต่ำลงอย่างรวดเร็ว หากคุณไม่คิดในมุมมองของ Range ซึ่งจะทำให้คุณไม่สามารถเลื่อนขึ้นไปเล่นในระดับที่สูงขึ้นได้
ความจริงก็คือกลุ่มผู้เล่นที่เล่นอยู่ในระดับ Low-stakes มักจะขาดการศึกษาที่ถูกต้อง โดยมักจะนำ Range ที่ไม่เหมาะสม (Suboptimal) มาเล่น และมีการบลัฟมากเกินไปใน Range ที่กว้างมาก ดังนั้นเราจะมาพิสูจน์ด้วยตัวอย่างจากการเล่นจริงว่าการ Call เพื่อจับบลัฟด้วยไพ่ที่มีความแข็งแกร่งปานกลางไม่เพียงแต่สมเหตุสมผล แต่ยังเป็นสิ่งจำเป็นในบางสถานการณ์ด้วย
ในบทความนี้ เราจะอธิบายถึงวิธีการที่ถูกต้องและสถานการณ์ในการเล่นที่คุณต้องเริ่มพิจารณาที่จะจัดการผู้เล่นที่มักจะ Bluff มากกว่าปกติในเกมโป๊กเกอร์
สัญญาณสำคัญที่คุณสามารถนำไปใช้จับบลัฟ
คุณควร Call ด้วยความถี่ที่สูงขึ้น เมื่ออยู่ในสถานการณ์ดังนี้:
- Range ที่คู่ต่อสู้นำมาใช้เล่นนั้นกว้าง: เมื่อคุณพบว่าลักษณะของคู่ต่อสู้ของคุณเป็นผู้เล่นที่ชอบนำไพ่มาเล่นกว้างกว่าปกติ และตำแหน่งในการเล่นของคู่ต่อสู้เอื้อให้เขานำไพ่ที่กว้างกว่าปกติมาเล่น เช่น ในกรณีการเล่นระหว่างตำแหน่ง BTN vs BB ในการเล่นแบบ Single-Raise Pot (SRP)
- ลักษณะการเล่นในรอบ Pre-Flop: ก่อนที่ผู้เล่นจะวางเดิมพันในรอบ Post-Flop (รอบที่เปิดไพ่ Flop แล้ว) แผนการเล่นของพวกเขายังไม่ได้แสดงออกถึงไพ่ที่มีความแข็งแกร่งหรือศักยภาพมากพอ
- คู่ต่อสู้มีแนวโน้มที่จะเดิมพันทั้งหมดของ Range (Range Bet)
- ไพ่ที่เปิดขึ้นบนบอร์ดไม่น่าจะทำให้ไพ่ใน Range ของพวกเขาแข็งแกร่งขึ้น: แต่พวกเขายังคงเดิมพันอย่างไม่รู้ตัว หรืออาจจะตั้งใจทำเช่นนั้น แต่มันขัดแย้งกับแผนการเล่นที่แนะนำให้เล่น
- พวกเขาเลือกวางเดิมพันในขนาดที่แสดงถึงความแข็งแกร่งของไพ่ที่ดีที่สุด แต่ไพ่เหล่านั้นไม่อยู่ใน Range ของพวกเขา (เช่น การเดิมพันขนาด Over-Pot ในจุดที่พวกเขาไม่สามารถมีมือที่ดีที่สุดได้)
คุณควร Fold เมื่ออยู่ในสถานการณ์ดังนี้:
- Range ที่คู่ต่อสู้นำมาใช้เล่นนั้นแคบ : คู่ต่อสู้เป็นผู้เล่นที่มีลักษณะการเล่นอย่างรัดกุม เลือกเล่นไพ่ที่แข็งแกร่ง และตำแหน่งในการเล่นอยู่ในตำแหน่ง Early เช่น ในกรณีการเล่นระหว่างตำแหน่ง EP vs BB ในการเล่นแบบ Single-Raise Pot (SRP)
- Range ของคู่ต่อสู้มีความแข็งแกร่ง: เนื่องจากการเล่นที่ Aggressive ในรอบการเล่นก่อนหน้า
- ไพ่ที่เปิดขึ้นบนบอร์ดสอดคล้องกับ Range ของคู่ต่อสู้เป็นอย่างมาก: ดังนั้นจึงทำให้ไม่สามารถหาบลัฟใน Range ของเขาได้ (ผู้เล่นส่วนใหญ่ไม่สามารถหาแนวทางบลัฟในสถานการณ์เหล่านี้ได้)
- Range ของผู้เล่นทั้งคู่ Uncapped: คู่ต่อสู้เลือกใช้ขนาด Bet-size ที่มีขนาดใหญ่ ในขณะที่ผู้เล่นทั้งสองฝ่ายสามารถมีไพ่ที่เป็น Nuts ใน Range ได้ทั้งคู่
ในบทความนี้มีจุดมุ่งหมายคือการปรับปรุงทักษะในการตัดสินใจของคุณ และช่วยให้คุณพิจารณาปัจจัยต่างๆ ที่มีความสำคัญเมื่อเผชิญกับการเดิมพัน ซึ่งจะช่วยให้คุณเป็นคู่ต่อสู้ที่เล่นด้วยยากมากขึ้น โดยต้องตระหนักว่าสิ่งที่เราจะเรียนรู้ในวันนี้เป็นเพียงส่วนเล็กๆของกลยุทธ์โดยรวม เนื่องจากมีสถานการณ์มากมายที่คุณสามารถ Call เพื่อจับบลัฟได้
จุดที่มักจะมีการบลัฟมากเกินไป
- สถานการณ์การเล่นที่ Turn เมื่อคุณถูก Probe-Bet ในการเล่นแบบ Single-Raised Pot
- สถานการณ์ เมื่อมีการ Bet-Check-Bet จากตำแหน่ง Big Blind
- สถานการณ์ เมื่ออยู่ในตำแหน่งที่ได้เปรียบและคู่ต่อสู้แสดงความอ่อนแอ
- บอร์ดที่มีความเชื่อมโยงกันมาก เช่น Complete Straight + Complete Flush
มีอีกหลายๆปัจจัยที่เอื้อให้ผู้เล่นมีการบลัฟมากเกินไปในการเล่นของเขา โดยเราขอเสนอ สถานการณ์ในการเล่นที่ Turn เมื่อคุณถูก Probe-Bet ในการเล่นแบบ Single-Raised Pot มาเป็นตัวอย่างในบทความนี้
สถานการณ์การเล่นที่ Turn เมื่อคุณถูก Probe-Bet ในการเล่นแบบ Single-Raised Pot
ลองมาดูตัวอย่างของบอร์ด J♠6♠5♣ T♥ เพื่อพิสูจน์ว่าคู่ต่อสู้ของคุณสามารถเล่นผิดพลาดได้ง่ายแค่ไหนในการเล่นที่ Turn เราได้เลือกสถานการณ์ระหว่างผู้เล่นในตำแหน่ง BTN กับ BB เป็นตัวอย่าง เพื่อแสดงให้เห็นถึงสัญญาณสำคัญหลายประการที่กล่าวถึงไปก่อนหน้านี้ ซึ่งได้แก่ ลักษณะการเล่นก่อนวางเดิมพัน Post-Flop หรือ ไพ่ที่เปิดขึ้นบนบอร์ด ไม่น่าจะทำให้ ไพ่ใน Range ของพวกเขาแข็งแกร่งขึ้น
แผนการเล่นที่ GTO แนะนำ ของตำแหน่ง BB
ก่อนที่เราจะเรียนรู้วิธีการรับมือกับแผนการเล่นของผู้เล่นในตำแหน่ง BB ลองมาสังเกตกลยุทธ์ GTO ของ BB ที่เลือกเล่นที่เทิร์นเพื่อให้เข้าใจภาพรวมของกลยุทธ์ Probing ที่สมดุลมากขึ้น
ข้อสังเกต ที่ 1 สิ่งแรกที่ควรสังเกต ก็คือ BB ควร Check ถึง 83% ที่เทิร์น
ซึ่งเป็นแผนการเล่นที่แทบจะไม่พบเห็นเลยในเกมระดับ Low stakes ซึ่งเราจะเข้าใจเหตุผลนี้มากขึ้นเมื่อได้ดูว่าไพ่แต่ละประเภทควรจะเล่นในสถานการณ์นี้อย่างไร ในแนวทางของ GTO?
สาเหตุที่ฝ่าย OOP ต้องเช็คเทิร์นมากขนาดนี้ก็เพราะว่าผู้เล่นที่ตำแหน่ง BTN ( IP ) ที่เลือกจะ Check-Back ที่ Flop ทำให้มาถึงการเล่นที่ Turn พร้อมกับ Range ที่มีการ Protect อย่างเหมาะสม ทำให้สามารถรับมือกับแรงกดดันได้ดี โดย Range ดังกล่าวประกอบไปด้วยไพ่ที่ไม่แข็งแกร่งปะปนกับไพ่ที่แข็งแกร่ง เช่น Over-Pairs, Top-Pairs และ 2 Pair แต่โดยทั่วไปแล้ว IP ควรหลีกเลี่ยงการ Check-Back Flop ด้วยไพ่ที่ดีที่สุด (Nutted- hands) ใน Range วิธีนี้จะทำให้ BB ไม่มีตัวเลือก “ดีที่สุด” ในการ ฺฺBet ที่ Turn ทำให้ต้องใช้กลยุทธ์ผสมผสานในการเล่นส่วนใหญ่
ภาพ Range ของ BTN ที่ GTO แนะนำให้เล่น ในสถานการณ์นี้จะเห็นได้ว่ามีการ Check-Back ในไพ่ที่มีความแข็งแกร่งมากมาย
อีกเหตุผลหนึ่งที่ฝ่าย OOP (ตำแหน่ง BB) ต้องเช็คถึง 83% คือ ในบอร์ดนี้ BB ที่เป็นฝ่าย Call Preflop นั้นขาดไพ่ที่แข็งแกร่ง (Nutted Hands) บางอย่าง เช่น คู่สิบ (TT+) ซึ่งส่วนใหญ่ผู้เล่นจะทำการ 3-Bet ตั้งแต่ Preflop รวมถึงไพ่อย่างเช่น AJ ที่บางครั้งอาจ 3-bet Preflop ทำให้ยิ่งขาดไพ่ที่มี Equity สูงใน Range บนบอร์ดนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่มีเซ็ต (Sets) อยู่ใน Range ของผู้เล่นในตำแหน่ง BTN เช่นกันเมื่อเขาทำการ Check-Back Flop แต่ไพ่ที่เป็น Top Pairs และ Overpairs ของ BTN ก็สามารถทดแทนช่องว่างนี้ได้ ดังนั้น ในฐานะผู้เล่น ที่ Raise Preflop เราจะยังคงมีความได้เปรียบด้าน Equity อยู่ แม้ว่าจะเช็คกลับที่ฟลอปก็ตาม (Equity ของ Range ที่ BTN หลังจากการเล่นมาถึงที่เทิร์นจะอยู่ที่ 50.88%)
โดยทั่วไปในสถานการณ์ เมื่อมีการ Check-Back Flop ผู้ที่มีความได้เปรียบด้าน Equity ตั้งแต่ Flop มักจะรักษาความได้เปรียบนี้ต่อไปจนถึง Turn เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเนื่องจากการเช็คเป็นการพยายามนำไพ่ที่มีโอกาสชนะไป Showdown (realizing their equity) ซึ่งทำให้ช่วงไพ่ของ BTN ที่ Check-Back มีไพ่ที่มีโอกาสดีกว่าช่วงไพ่ของคู่ต่อสู้ (Villain) ที่ตำแหน่ง BB
ข้อสังเกต ที่ 2 กลยุทธ์ของ BB ที่เทิร์นมักจะมีการ check-raise โดยเฉพาะกับไพ่ที่เป็น Draws แทนที่จะใช้การ Probe-Bet
เมื่อเราดูที่ความถี่ในการเล่นของไพ่ Draws จะเห็นได้ว่า BB ควรจัดไพ่ที่เป็น Draws ที่ดีที่สุดของตนให้อยู่ใน Line ของ Probe-bet เพียงประมาณ 45% เท่านั้น
เมื่อโปรแกรม Solver ไม่เลือกที่จะ Bet ด้วยไพ่ที่เป็น Draws เหล่านั้น และเลือกที่จะจัดไพ่ Draws เหล่านี้ให้อยู่ใน Line ของการ Check-Raise แทน โดยไพ่ที่เป็น Open-enders หรือ Draws ที่แข็งแรงกว่านั้น จะถูก Check-Raise ประมาณ 26% หลังจาก Check ในการเล่นที่เทิร์น ส่วน Gutshots ส่วนใหญ่จะถูกจัดให้อยู่ใน Check-Fold
เนื่องจาก OOP ต้องเลือก Check โดยส่วนใหญ่ในการเล่นที่เทิร์น ไพ่ที่เป็น Draws ของพวกเขาจึงต้องเล่นในลักษณะเดียวกัน การมี Draws ที่แข็งแรงในทั้งสอง Line การเล่น คือ Check-call หรือ Check-raise ช่วยลดแรงจูงใจให้ผู้เล่นในตำแหน่ง BTN ใช้กลยุทธ์เดิมพันหนักๆ บนไพ่ริเวอร์ที่ทำให้ Draws Complete ต้องจำไว้ว่าพวก Flush draws อย่าง K♠4♠ หรือ Q♠7♠ ที่ไม่สามารถทำกำไรจากการ Check-call ที่เทิร์นได้เนื่องจากขาดค่า SDV (Showdown Value) จึงเลือกที่จะ Probe ที่เทิร์นเสมอ
จุดที่กำลังอธิบายนี้จะเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จากกลยุทธ์ในการเล่นที่เทิร์นของ BB หลังจากที่การเล่นที่ Flop ผ่านไปแบบ Check-Check (x-x) นั้นค่อนข้างซับซ้อนและยากที่จะทำได้อย่างถูกต้อง การเล่นที่ตรงไปตรงมาโดยเดิมพันด้วยไพ่ที่ดีและ Draws เท่านั้น ง่ายกว่าการเล่นที่ซับซ้อนด้วยการ Check-raise ที่เทิร์น ซึ่งวิธีนี้มักจะเกิดขึ้นในเกมระดับ Stakes ที่คุณเล่นอยู่
การตอบสนองของผู้เล่นในตำแหน่ง BTN ตาม GTO ต่อการ Probe ในเทิร์นของ BB
ตอนนี้มาดูที่ กลยุทธ์ตามหลักสมดุล (Equilibrium Strategy) ของ BTN ที่ใช้ตอบสนองต่อการ Probe ของผู้เล่นในตำแหน่ง BB อย่างละเอียด ตั้งข้อสังเกตพร้อมทั้งสร้างหลักการพื้นฐาน ก่อนที่จะเข้าสู่ การเลือกกลยุทธ์เพื่อนำมาโจมตีอย่างถูกต้อง
จุดสังเกต ด้วยการใช้ตัวกรอง เราพบว่าจุดที่เราควรจะเลือก call อยู่ที่ ไพ่คู่ที่มีความแข็งแกร่งอันดับสอง (second pair) เป็นหลัก ไพ่ในกลุ่มที่เป็น 6-x, 5-x และ gutshot จะเริ่มมีการเลือกที่จะ Fold สลับกัน
ในบทความนี้ เราจะไม่เจาะลึกถึงวิธีการ Call คู่ต่อสู้ด้วยไพ่คู่ต่ำโดยอิงจาก Un-Block (หรือ Block) เนื่องจากในบริบทนี้ผลกระทบของการตัดไพ่ (Card removal) ไม่สำคัญเท่าที่ควร เราจึงจะมุ่งเน้นไปที่การดูว่า ส่วนใดของ Range ของเราในสถานการณ์นั้น จะเป็นกลางหรือไม่มีความแตกต่างใดๆ (หรือใกล้เคียง) เมื่อเจอกับคู่แข่งที่เล่นอย่างสมดุล ซึ่งก็คุณต้องให้ความสำคัญกับ Range ที่มีความอ่อนไหวต่อ กลยุทธ์การเดิมพันของคู่ต่อสู้มากที่สุด
เราจะทำการ Nodelocking โดยใช้ GTO Wizard AI เพื่อเปรียบเทียบกับการตอบสนองของมนุษย์ตามหลักสมดุล กับการตอบสนองต่อกลยุทธ์ Probe ที่ไม่สมดุลที่เทิร์น แต่ก่อนอื่นเรามาตั้งสมมติฐานกันก่อน
ข้อมูลจากการวิเคราะห์เชิงสถิติชี้ให้เห็นว่าในสถานการณ์นี้ เราคาดว่า Betting-Range ของผู้เล่นโดยเฉลี่ยจะมีไพ่ที่ยังไม่ติดอะไร (unmade hands) ประมาณ 56% ดังนั้น สมมติฐานของเราสำหรับการเล่นของ BB คือ
- ไม่ได้ Slow-play ด้วยไพ่ที่มี equity สูงเพียงพอ – เลือกที่จะ Prebe ด้วยไพ่สองคู่ขึ้นไปเสมอ
- เดิมพันไพ่ Draw มากเกินไป – ไพ่ Draw ที่ดีที่สุดมักจะถูก Fastplay ส่งผลให้มีการบลัฟมากเกินไป
- มีแนวโน้มที่จะหาบลัฟที่เหมาะสมได้ – เนื่องจากบลัฟที่แนะนำโดยโปรแกรม solver ค่อนข้างเข้าใจง่าย (ดังที่เห็นในภาพประกอบด้านล่าง)
- เดิมพันไพ่ draw มากขึ้น แต่ยังคง Slow-play ด้วย Top-Pair เป็นจำนวนมาก ซึ่งทำให้ช่วงการเดิมพันจึงค่อนข้างหนักไปทาง Draw มากยิ่งขึ้น
มาจำลองกลยุทธ์ของ BB โดยให้เขาเลือกเล่นไพ่ที่มีความแข็งแกร่งที่ดีกว่า สองคู่ขึ้นไป โดยมีการ Slow-Play บ้าง ตามข้อมูลอ้างอิงที่ใช้ ไพ่ระดับ Top-Pairs ที่ไม่ค่อยจะเดิมพันบ่อยนัก ซึ่งบ่งชี้ว่าผู้เล่นทั่วไปมีความสบายใจในการ Slow-Play ไพ่ระดับ Top-Pair มากกว่าไพ่ที่เป็นชุดดีที่สุด (Nutted hands) ไพ่ Draw จึงเลือกที่จะเดิมพันบ่อยขึ้นเมื่อมีอัตราชนะมากกว่า จึงต้องเดิมพันเสมอแต่ควรใกล้เคียงกับความเป็นจริงอยู่ดี ไพ่ Flush-Draws และ Open-ended straight draws – OESD มักจะเดิมพัน ในขณะที่ Gutshots จะเป็น Draw ที่พวกเขาจะ Check บ่อยที่สุด ฟังดูเหมือนกลยุทธ์ ABC ที่ตรงไปตรงมา จำไว้ว่า คู่ต่อสู้ของคุณไม่ได้เล่นแบบนี้เสมอไป แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการเข้าใจส่วนต่าง ๆ ของกลยุทธ์ของเรา
ตอนนี้เรามาดูกันว่าควรใช้ประโยชน์จากกลยุทธ์ที่ตรงไปตรงมานี้อย่างไร
เมื่อลองพิจารณาถึงกลยุทธ์ใหม่ของเราที่ใช้กับการ Probe ของคู่ต่อสู้ที่ Turn เราจะเห็นว่าการปรับตัวนั้นค่อนข้างง่าย จำไว้ว่าการสังเกตครั้งสุดท้ายของเรา ทำให้ต้องผสมผสานระหว่างการ Call และ Fold (และบางครั้งอาจ Raise) กับคู่ที่อ่อนแอกว่า และ เราได้บอกไว้แล้วว่ามือเหล่านี้ค่อนข้างอ่อนไหวต่อกลยุทธ์ของคู่ต่อสู้ที่สุด ตอนนี้เราสามารถเห็นได้ชัดเจนว่า คู่ต่อสู้ของเราเล่นบลัฟมากเกินไป เราสามารถ Call ด้วยมือที่เราควรจะผสมระหว่างการ Fold ได้ (เช่น 99–77, 6-x, 5-x) โปรดจำไว้ว่า เราทำการล็อกกลยุทธ์ของคู่ต่อสู้ในแบบที่ระมัดระวัง เราอาจจะสามารถ Call ในจุดนี้ได้น้อยกว่าที่เราเห็นในการเปรียบเทียบในภาพข้างต้น
และนี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของกลยุทธ์ที่เรานำ GTO มาอธิบายเกี่ยวกับเหตุผลที่เราควรที่จะ Call , Fold แผนการเล่นที่คู่ต่อสู้มักเลือกที่จะบลัฟมากเกินไป ซึ่งคุณควรใช้เวลาในการศึกษาในเรื่องนี้เพิ่มเติมได้อีกในอนาคต
สรุปบทความ
วัตถุประสงค์ของบทความนี้คือการแสดงให้เห็นถึงวิธีการนำ GTO มาใช้เพื่อช่วยตัดสินใจในจุดที่ต้องการแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้มีความได้เปรียบแทนที่จะพยายามรักษาความสมดุลในขณะเล่นโป๊กเกอร์กับคู่ต่อสู้ ที่ในสถานการณ์จริงไม่มีความสมดุลอยู่ตลอด โดยสรุปประเด็นสำคัญจากบทความดังนี้
- ผู้เล่นที่ไม่ศึกษาแนวทาง GTO มักจะทำการบลัฟมากกว่าที่คุณคิดในหลายๆ สถานการณ์
- การศึกษาแนวทางการตัดสินใจในสถานการณ์ทั่วไปที่มีความสมดุล จะช่วยให้เราระบุไพ่ในกลุ่มที่เราจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์เพื่อใช้ประโยชน์จากแนวโน้มของคู่ต่อสู้มาสร้างความได้เปรียบได้
- การศึกษาแนวทาง GTO ของคู่ต่อสู้เพิ่มเติม จะช่วยให้เราระบุได้ว่าพวกเขาอาจมีการเล่นที่เบี่ยงเบนจากแนวทางนั้นอย่างไร
แม้ว่าผู้เล่นในระดับ Low-Stake จะมีแนวโน้มที่จะมีแผนการเล่นที่ Passive การตั้งสมมติฐานว่าพวกเขาจะไม่บลัฟมากขึ้นกว่าปกตินั้น เป็นความผิดพลาดที่ถูกมองข้ามและสามารถทำให้สูญเสียได้อย่างมากโดยที่ไม่รู้ตัว
บางครั้งกลยุทธ์การเล่นแบบ “stationy” หรือที่เราคุ้นเคยว่า Passive อาจนำคุณไปสู่การ Call ในสถานการณ์ที่ดูไม่น่าจะเป็นไปได้ในตอนแรก ซึ่งอาจทำให้คุณสูญเสียชิปกองใหญ่จากไพ่ที่ไม่ได้แข็งแกร่ง แต่สิ่งนี้คือส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ หากคุณสามารถนำไปใช้ได้อย่างถูกต้อง ผลการเล่นของคุณจะดีขึ้นและอัตราการชนะของคุณเพิ่มสูงขึ้นได้