ใน Range ที่สามารถนำมา Check-Raise ได้ดีจะประกอบไปด้วยกลุ่มไพ่ที่สามารถนำมา Balance ระหว่าง Bluff และ Value โดยเป็นการนำ Polarize มาใช้กดดันคู่ต่อสู้….. เมื่อถูก Check-Raise นอกจากจะเป็นการกดดันให้คุณ หมอบ (ตัดสินใจได้ไม่ยาก) แต่หากคุณคิดที่จะ Call หรือ ทำอย่างไรต่อไป คุณมีแผนการเล่นกับไพ่ของคุณต่อไปอย่างไร บทความนี้จะช่วยคุณหาคำตอบ
ข้อคิดเล็กน้อยเกี่ยวกับการ Continuation Bet
วิธีการเดียวที่จะรับมือกับความกดดันที่ต้องตัดสินใจอย่างยากลำบากก็คือ ถ้าคุณไม่ C-Bet Flop คุณก็จะไม่โดน Check-Raise ฟังดูแล้วเป็นตรรกะที่น่าสนใจไม่น้อย แต่ในความเป็นจริงการถูกผู้เล่น OOP ใช้การ Check-Raise จะไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยในสถานการณ์จริง
ดังนั้นคุณจึงไม่ควรกังวลในการ C-bet
Deep Stack (มีชิปหน้าตักตั้งแต่ 100bb ขึ้นไป)
สำหรับตารางด้านล่างได้แสดงให้เห็นถึงขนาดC-bet ที่ 33% Pot และถูก Check-Raise กลับมาที่ 55% Pot
เราเลือกใช้ขนาดเดียวกันในทุกๆ สถานการณ์ เพื่อให้ข้อมูลไม่มากจนเกินไปและเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยที่ Solver ใช้สำหรับคำแนะนำที่ Solver แสดงในตารางนั้นมีหลากหลายความถี่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์จริง แต่ในสถานการณ์จริงไม่ตรงบ้าง เนื่องจากคู่ต่อสู้มักไม่ได้เลือกขนาดที่ Solver ใช้ในตาราง
ดังนั้นคุณจึงควร Raise และ Call มากขึ้นหากคู่ต่อสู้ของคุณ Raise กลับมาน้อยกว่าค่าที่ Solver ใช้ และควร Call ให้น้อยลงหากคู่ต่อสู้ของคุณ Raise กลับมามาก หรือสูงกว่าค่าที่แนะนำ
การที่จะป้องกันไม่ให้ BB ทำกำไรจากการ Bluff นั่นหมายถึงการที่คุณต้องเลือก Call แม้ว่าจะยังไม่มีไพ่อะไรเลยแม้กระทั่ง Draw ก็ตาม
อันดับแรกขอให้จำไว้ว่าในทุกๆ บอร์ด และทุกๆ ขนาดของชิปหน้าตักความถี่ที่เราจะต้องหมอบมีอยู่ที่ราวๆ 40% ซึ่งนั่นก็คือค่าต่ำที่สุดที่เราจะต้อง Call หรือที่เรียกว่า Minimum Defense Frequency (MDF) แม้การ Call หรือ Raise กลับไปด้วยค่าที่แนะนำต่างๆ ตามตารางนี้จะทำให้คุณเกิดความกังวลใจ และขัดกับความรู้สึกในการเล่นจริงของคุณ การเลือกเล่นเฉพาะไพ่ที่ดี ทำให้คุณถูกโจมตีได้ง่าย แต่จากการที่คุณได้ศึกษา และทำความเข้าใจถึงความถี่ที่เหมาะสมที่ Solver เลือกใช้แล้ว คุณจะสามารถตัดสินใจบนความถูกต้องมากกว่าใช้ความรู้สึก
อันดับที่สอง การ Call หลังจากถูก Check-Raise นั้นเกิดขึ้นบ่อยมากกว่า การ Call 3-Bet เสียอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Flopที่เป็นไพ่คู่ หรือว่า Pair-Board และไพ่ใน Range ของคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งโดยส่วนมากก็คือ Trip ดังนั้นการ Raise กลับไปจึงไม่ได้ทำให้คู่ต่อสู้หมอบแต่อย่างใด (คู่ต่อสู้คงไม่หมอบ Trip บนบอร์ดนี้) และถึงแม้ว่าคุณเองติด Trip ที่บอร์ดนี้แล้วก็ตาม คุณไม่จำเป็นต้อง Raise กลับไปเลย คุณมีตำแหน่งในการเล่น และ Pot ก็ใหญ่ขึ้นมากจากการ Bluff ของเขาเอง คุณสามารถควบคุมการเล่นและขนาดของ Pot ในรอบต่อๆไป ที่คุณต้องทำคือส่งเชือกไปให้เขา (ให้เขาแขวนตัวเองเสีย)
ทำความเข้าใจ MDF
หากคุณตัดสินใจที่จะหมอบเพื่อตัดปัญหาไม่ต้องกังวลว่าจะถูก Bet ที่ Turn อีก นั่นหมายความว่าคุณกำลังกลัวสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น และเสียชิปให้กับ คู่ต่อสู้ที่อาจ Check-Raise ที่ Flop และหากคุณ Call เขาก็เตรียมยอมแพ้ให้ โดยการ Check-Fold
ดังที่ได้ศึกษาผ่านมาแล้ว ผู้เล่นที่เป็นฝ่าย Bet เป็นผู้เล่นที่มีความได้เปรียบตำแหน่งในการเล่น (IP) ควรเลือกที่จะ Call แม้ว่าจะยังไม่มีคู่ หรือมีลุ้นอะไรเลยก็ตาม ซึ่งจากภาพตัวอย่างด้านล่างที่จะไม่หมอบ Over-Card ที่มี Back-Door Draw บนบอร์ด TT2 Rainbow ไม่ว่าจะเป็น Back-Door Flush หรือ Back-Door Straight จนถึง A หรือ K ที่ไม่มี Back-Door ก็ตาม
นี่ไม่เพียงเป็นการ Call ที่เป็นทางเลือกที่เป็นกำไร EV+ จากผลลัพธ์ที่ได้จาก Equilibrium และหากถูก Bet ที่ Turn ก็สามารถเลือกที่จะหมอบหากไพ่ที่ Turn ออกมาไม่ส่งผลให้ไพ่ของเราแข็งแกร่งขึ้น
ตัวแปรที่จะทำให้ประสบความสำเร็จ
- คุณสามารถ Call ได้มากขึ้นหากขนาดของชิปเดิมพันมีขนาดเล็ก และผลจากการ Call ยังสามารถใช้เป็นกับดัก ในกรณีที่คุณมีไพ่ที่แข็งแกร่ง หรือสามารถพัฒนาเป็นไพ่ที่แข็งแกร่งได้ในรอบต่อไป
- หากชิปหน้าตัก (Stack) ในการเล่นมีน้อยกว่า 50bb การ Call โดยหวังว่าไพ่ที่เปิดออกมาเข้าทางที่จะสามารถ เดิมพันทั้งหมดหน้าตักของคู่ต่อสู้ได้ ยกตัวอย่างเช่น ในกรณีที่ ไพ่บนบอร์ด T22 หากคุณถือ Over card เช่น Ax Kx โดยที่คู่ต่อสู้อาจถือ Tx ไพ่ที่เปิดออกมาที่ Turn เป็น A หรือ K ทำให้คุณ Value Bet ได้ง่ายเนื่องจากเขาจะไม่หมอบ เพราะ Pot commit ไปแล้ว
- ใช้ประโยชน์จากความได้เปรียบของตำแหน่งในการเล่นให้เกิดประโยชน์สูงที่สุด ไม่มีประโยชน์อะไร หากคุณทำให้คู่ต่อสู้หมอบ หรือ All-in ใส่คุณ ที่คุณควรทำคือพยายาม คงความได้เปรียบของตำแหน่งไปจนถึงการตัดสินใจสุดท้ายที่คุณเป็นคนกำหนดขึ้นเอง ไม่ว่าจะเป็น Call, Raise หรือ Fold
ในการเล่นไพ่คู่ที่ Flop เป็นการเล่นที่ต้องใช้ประสบการณ์ และกลยุทธ์ที่ซับซ้อน ต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมในการเล่นมากกว่า Flop ในประเภทอื่น ผู้เล่นทั้งคู่ต้องหาทางใช้ Semi-Bluff, Call เพื่อ Protect Value หรือจำเป็นต้อง Call ด้วยความถี่ หรือค่าๆหนึ่งเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกโจมตีจากการ Bluff ได้ง่ายๆ กลยุทธ์จะแตกต่างออกไปอีกเล็กน้อยในกรณีที่ ชิปหน้าตัก (Stack size) เหลือให้เล่นมาก หรือน้อย
ดังนั้นเมื่อใดก็ตามหากคุณ C-Bet บนบอร์ดที่เป็นไพ่คู่ (Pair-Board) แล้วถูก Check-Raise คุณควรที่จะ Call ตามแผนการเล่นที่แนะนำในบทความนี้ อย่ากลัวที่จะหมอบไปเสียก่อนทำให้การเล่นนี้มีปัญหาจนเป็นการเล่นที่ติดลบในระยะยาว