แผนการเล่น Ax เมื่อมีชิปน้อย
แผนการเล่นเมื่อต้องเล่น Ax (ไพ่ Ace กับไพ่อื่นๆ ตั้งแต่ 2-Q) เมื่อชิปหน้าตักมีหรือน้อย หรือที่เรียกว่า Short Stake โดยส่วนใหญ่ในการเล่น ทัวร์นาเมนต์มักจะเลือก Shove All-in ใส่ผู้เล่นที่ตำแหน่ง Late Position เช่น BTN ,HJ ที่เปิดเข้ามาเล่น เพราะเป็นไพ่ที่เล่นยากหลังจากการเล่นในรอบ Flop
ซึ่งไม่ถูกต้องเสมอไป ดังตัวอย่างที่เราแสดงด้วยภาพด้านล่างที่เรานำ Range ของผู้เล่นที่ตำแหน่ง BB สามารถกระทำได้ หากผู้เล่นที่ตำแหน่ง BTN เลือกที่จะ Min raise
จะเห็นได้ว่าไพ่ Ace-X ที่มีสีเดียวกัน (Suite) นั้นเลือกที่จะ Call โดยส่วนใหญ่ (แทบจะทุก Combo) หรือแม้แต่ A6 ,A7 ,A8 ของฝั่ง Off Suite ยังเลือกที่จะ Call ไม่ใช่ Re-Raise ทำไม Solver ถึงแนะนำเช่นนั้น ?
คำตอบก็คือ ไม่ใช่ว่าการ Shove All-in นั้นไม่ถูกต้อง หรือไม่เป็นกำไร! มันสามารถสร้างกำไรได้ดี แต่ หากเลือก Call จะสามารถสร้างกำไรได้มากกว่า นั้นเป็นเพราะว่า Solver นั้นมีแผนการเล่นที่สามารถสร้างกำไร หรือหาผลประโยชน์ในการเล่นได้มากกว่าการ Shove All-in
ผลประโยชน์ หรือผลกำไรที่เพิ่มขึ้นจากการ Call นั้นเกิดจาก 2 ปัจจัยได้แก่
- เพื่อเก็บไพ่ที่แย่กว่าใน Range ของ BTN ไว้ไม่ให้หมอบไปเสียก่อน
- เพื่อเปิดโอกาสให้ BTN Bluff หรืออาจ Value Bet ได้เช่นเดียวกัน ในกรณีที่ A ตก ในรอบใดรอบหนึ่ง
แผนการ Call เป็นการเล่นที่ถูกต้องหรือไม่ ?
เมื่อเรามีคำถามว่าเหตุใด Solver จึงแนะนำให้คุณทำอย่างใดอย่างหนึ่ง มันเป็นการดีที่เราจะมาตรวจสอบกันว่าแผนการเล่นนั้นถูกต้อง และสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่า โดยพิจารณาจาก EV (Expect Value)
พิจารณาจากตัวอย่าง เมื่อคุณต้องพบกับการที่ผู้เล่นที่ตำแหน่ง BTN open raise มา ด้วยชิปที่มีบนหน้าตัก เพียง 20bb หากคุณเลือกแผนการเล่นที่ Solver แนะนำ นั่นก็คือ Mix Strategies ด้วยการ Call หรือ 3-Bet กลับไปบ้างด้วยขนาดเล็กๆ และส่วนใหญ่ไม่ได้เลือกการ Shove All-in มาใช้ในแผนการเล่นเลย แม้ว่าการ Shove All-in นั้นให้ผลตอบแทน (EV) ที่แทบจะเหมือนกันในสถานการณ์นี้
จะเห็นได้ว่า EV สำหรับ การเล่นด้วยการ Call กับ All-in นั้น เท่ากัน ที่ 1.45
แต่สำหรับ Ace-X ที่เป็นสีเดียวกัน (Suite) การ Call นั้นให้ผลตอบแทนที่สูงกว่ามาก
เมื่อนำ Equity Realization มาใช้พิจารณา
ปัญหาที่เราควรพิจารณาก็คือ ไพ่ Ace-X ที่เป็นคนละสีกัน (off suite) เป็นไพ่ที่แข็งแกร่งในกรณีที่คู่ต่อสู้มี Range ที่นำมาเล่นกว้างกว่าปกติ แต่ปัญหาก็คือ Ace-X เป็นไพ่ที่เล่นได้ยาก
เนื่องจากเราไม่สามารถ Realize Equity ของเราได้ หาก Flop เปิดออกมา แล้วไม่ Connect กับไพ่ของเรา (ไม่มี A, ไม่มีคู่ ,ไม่ได้ลุ้นสี) ทำให้ สามารถ ถูกกดดันจากการ C-bet ที่ Flop จนต้องหมอบไปได้
ต่างจาก Ace-X ที่เป็นสีเดียวกัน ที่สามารถ เล่นได้ง่ายมากกว่า แม้ว่า Flop จะมีเพียง Back-Door Flush ก็เพียงพอที่จะสามารถ Call การ C-bet เพื่อที่จะ Realize Equity เพิ่มเติมได้มากกว่าไพ่ Off suite
พิจารณาจากตัวอย่าง ที่คุณอยู่ในตำแหน่ง BB ที่ถูก C-Bet 33% ที่ Flop J♠ 7♦ 2♣
จะเห็นได้ว่า EV จากการ Call ด้วย backdoor flush draw นั้นมี EV ที่เป็น + มีเพียง A6♥ เพียง เท่านั้น ที่ไม่ได้มี backdoor เช่นเดียวกับ A6o จึงไม่มีทางเลือกที่ดีกว่าการหมอบ
ไพ่ที่ดีกว่า และ Dominating Pairs
ตำแหน่งที่ Open Raise จากตำแหน่ง BTN ด้วยชิปหน้าตักที่เหลือน้อยทำให้ Range ที่ใช้นั้นเป็น Polarize ด้วยส่วนใหญ่ และ อาจมี ไพ่ที่แข็งแกร่งปานกลางรวมอยู่ด้วยได้เช่นเดียวกัน เช่น ไพ่คู่ต่ำ, ไพ่สี และ Ace-X ที่เป็น off suite ดังภาพด้านล่าง
ดังนั้นการที่ คุณ Shove All-in นั้นเป็นการไล่ไพ่ที่แย่กว่าคุณ (Dominate Hand) ที่อาจหมอบทิ้งไป (A2o ,54s แต่มันไม่ได้เป็นผลเสียอะไรมากนักที่ต้องเป็นห่วง เนื่องจากการเล่นด้วยชิปหน้าตัก (Stake) ที่น้อยๆ นั้น คุณไม่จำเป็นที่จะต้องมีไพ่ที่แข็งแกร่งมาก เพื่อที่จะเป็นผู้ชนะ แม้แต่ไพ่คู่กลางคุณก็สามารถที่จะ check-raise ได้จากตัวอย่างด้านล่าง
จากภาพคุณสามารถ Check Raise A7 ที่เป็นเพียง Middle Pair ของคุณได้ แน่นอนว่าคุณอาจเจอไพ่ที่ดีกว่าได้บ้าง แต่ก็ยังได้ Value จากไพ่ที่แย่กว่าได้ เช่น 7s ที่ kicker แย่กว่าคุณ ใน BTN Range
ไพ่ Ace ตก
ในบางสถานการณ์ ไพ่ A8o ที่คุณนำมาเล่นนั้นอาจสร้างปัญหาให้กับคุณได้ และหากเป็นการเล่นที่มีชิปเหลือแบบ Deep stake จะทำให้ Implied Odds มีความน่ากังวลเพิ่มขึ้น และหากเปลี่ยนการเล่นนี้เป็นการ Call ผู้เล่นที่อยู่ที่ตำแหน่ง Early position จากการที่คุณติดคู่ A แต่มี Kicker ที่แย่กว่านั้นอาจทำให้คุณเสียชิปจนหมดหน้าตักได้
การนำไพ่ที่คู่ต่อสู้คาดเดาไม่ถึงมาเล่นนั้นสร้างผลตอบแทนให้คุณได้มหาศาล
มันแตกต่างออกไปหากคู่ต่อสู้ของคุณอยู่ที่ตำแหน่ง Late Position เช่น BTN ที่ Ax นั้นมี Equity Realization มหาศาลเมื่อคำนวณ ก่อนที่จะเปิด Flopอยู่ที่ราวๆ 200% ด้วยเหตุผลนี้ทำให้ผู้เล่นส่วนใหญ่เลือกที่จะ Shove-All in จากความได้เปรียบนั้น
แต่จะต่างออกไปหากคุณเลือกที่จะ Call นั้นก็เพราะคู่ต่อสู้ของคุณนั้นไม่สามารถคาดเดาได้ว่า คุณเลือกที่จะ Call ด้วย Ax
ดังนั้นเมื่อ A ถูกเปิดขึ้นบนบอร์ดคู่ต่อสู้ของคุณมักจะเลือกที่จะ Bluff เพราะคิดว่าคุณไม่มี A อยู่ใน Range ของคุณ
ลองพิจารณาตัวอย่างที่คู่ต่อสู้ของคุณที่ตำแหน่ง BTN เลือกที่จะ Barrel ที่ Turn 9♥ อีกครั้ง หลังจากการเล่นที่ Flop A72 rainbow
จากภาพจะเห็นได้ว่าเขา Bet ออกมาเกือบ 80% ของไพ่ทั้งหมดใน Range ที่ประกอบไปด้วย Bluff , ไพ่ที่ติดคู่กลาง (9x) รวมถึงไพ่ที่ติด คู่ต่ำ (7x ) อีกด้วย
แนวคิดเรื่อง Board Coverage นั้นได้ถูกอธิบายและนำมาใช้เพื่อปกป้อง หรือป้องกันในแง่ของการรับมือกับสถานการณ์ที่แย่ที่สุด ซึ่งหากคุณไม่มี Ax ใน Calling Range ของคุณเลย ทำให้เมื่อใดก็ตามที่มีไพ่ Ace เปิดออกมาบนบอร์ด คู่ต่อสู้ก็จะเลือกวิธีการที่จะจัดการคุณได้อย่างง่ายดาย
แผนการเล่นที่ Solver เลือกใช้จะไม่ยอมทิ้งผลประโยชน์ แม้เพียงเล็กน้อยไปโดยหวังที่จะไปเอาคือในภายหลัง
จากที่ได้มองเห็นค่าของ EV ที่ได้รับจากการเลือก Action ไม่ว่าจะเป็น Shove All-in หรือ Call ที่แทบจะไม่แตกต่างกัน ดังนั้นการเลือกนำไปใช้จึงขึ้นอยู่กับผู้เล่นว่าจะสามารถนำแผนการเล่นนั้นไปประยุกต์ใช้กับคู่ต่อสู้ได้อย่างถูกต้องหรือไม่ แต่ในบทความนี้คุณได้เรียนรู้ว่าการ Call ด้วย ไพ่ Ace-X นั้นมีแผนการเล่นและสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีที่สุดได้อย่างไร
- คู่ต่อสู้ มีโอกาสที่จะ Bluff อย่างดุดันไหม? หาก ไพ่ A เปิดขึ้นมาบนบอร์ด
- คู่ต่อสู้ สามารถที่จะ Bet หรือ Raise เพื่อสร้าง Pot ในกรณีที่ถือไพ่ที่แข็งแกร่งปานกลางได้ไหม?
- คู่ต่อสู้ มี Range ที่กว้างพอที่จะนำไพ่ที่แย่กว่าคุณ หรือ Dominate มาเล่นหรือไม่?
ตัวแปรต่างๆ เหล่านี้ล้วนส่งผลให้ผลตอบแทนระหว่างการเลือกเล่นด้วยการ Shove All-in กับ Call สิ่งใดจะให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดกับคุณ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดมากกว่านั้นก็คือคุณสามารถตอบคำถามของตัวเองได้ว่าในสถานการณ์นั่นๆ คุณควรเลือกตัดสินใจอย่างไร