เป้าหมายสำคัญของผู้เข้าแข่งขันทัวร์นาเมนต์โป๊กเกอร์ทุกคนคือการสะสมชิปให้ได้มากที่สุดระหว่างการแข่งขัน
อย่างไรก็ตามไม่ว่าคุณจะสะสมชิปได้มากเพียงใด คุณต้องเผชิญกับช่วงการแข่งขันที่สำคัญซึ่งต้องใช้แผนการเล่นที่ถูกต้อง และเหมาะสมกับสถานการณ์ในขณะนั้น นั่นคือช่วง Bubble ในบทความนี้จะนำเสนอปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาในการวางแผนการเล่นช่วง Bubble
ช่วง Bubble ในการแข่งขัน Tournament คืออะไร?
ช่วง Bubble ในการแข่งขันหมายถึงช่วงที่ผู้เข้าแข่งขันที่เหลืออยู่กำลังจะได้รับเงินรางวัลทุกคน หากมีผู้เข้าแข่งขันคนใดคนหนึ่งแพ้และต้องออกจากการแข่งขันไปอีกเพียงคนเดียว
ปัจจัยที่ 1: ขนาดของการแข่งขัน
ขนาดของการแข่งขันที่ใหญ่ หมายถึงจำนวนผู้เข้าแข่งขันมาก จะทำให้เวลาของการแข่งขันเพื่อเข้าสู่ช่วง Bubble ใช้เวลาน้อยลงเนื่องจากมีการแข่งขันหลายโต๊ะพร้อมกัน ยกตัวอย่างเช่น การแข่งขันทัวร์นาเมนต์ที่มีผู้สมัครเข้าแข่งขัน 2,000 คน และมีเงินรางวัลให้กับผู้สมัคร 300 อันดับ เปรียบเทียบกับการแข่งขันที่มีผู้สมัคร 10 คน และมีเงินรางวัลให้กับอันดับที่ 1-3 เท่านั้น เวลาที่ใช้ในการแข่งขันจะยาวนานแตกต่างกันมาก โดยเฉพาะการแข่งขันในระดับและเงินรางวัลที่สูง
ดังนั้นการพิจารณา และวางแผนการเล่นให้เหมาะสมกับขนาดของการแข่งขันเป็นสิ่งสำคัญ
ยกตัวอย่างเช่น หากคุณแข่งขันทัวร์นาเมนต์ที่มีผู้สมัครมาก คุณอาจวางแผนที่จะเล่นอย่างรัดกุมเพื่อเข้าสู่ ITM โดยไม่ต้องเสี่ยงมาก
ปัจจัยที่ 2: ขนาดของชิปโดยเฉลี่ย
สิ่งที่ต้องพิจารณาต่อมาคือขนาดของชิปหรือ Stack-Size โดยเฉลี่ยของผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด เมื่อขนาดของชิปโดยเฉลี่ยมีค่าใกล้กับชิปของผู้ที่มีขนาดน้อยที่สุด หมายความว่ามีโอกาสที่จะมีผู้เล่นต้องออกจากการแข่งขันในทุก ๆ รอบมากขึ้น และเมื่อชิปโดยเฉลี่ยของผู้เข้าแข่งขันลดลงจนเหลือประมาณ 15BB หมายความว่าเข้าสู่ช่วง Bubble เข้าไปทุกขณะแล้ว คุณควรเลือกที่จะหมอบโดยส่วนใหญ่ในช่วงนี้ แต่หากคุณเป็นผู้เล่นที่มีชิปน้อยกว่าค่าเฉลี่ย คุณกำลังเสี่ยงที่จะออกจากการแข่งขัน
ปัจจัยที่ 3: ระดับของการแข่งขันที่แตกต่างกัน
แผนการเล่นในระดับการแข่งขันที่แตกต่างกันมีผลทำให้แผนการเล่นมีความแตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น ในระดับ Micro Stack เมื่อชิปของคุณเหลือน้อย คุณจะถูกบังคับให้ All-in เมื่อ Blind ขยับมาถึงคุณ
ดังนั้นคุณสามารถนำกลยุทธ์นี้มาปรับใช้ในแผนการเล่นของคุณได้ ยกตัวอย่างเช่น ผู้เล่นที่ตำแหน่ง UTG จะต้องถูกบังคับ All-in ในรอบต่อไป เทียบกับผู้เล่นที่ตำแหน่ง BTN ที่สามารถรอไพ่และรอให้มีผู้เข้าแข่งขันในโต๊ะอื่น ๆ ตกรอบได้อีกถึง 6 รอบ แม้คุณจะไม่สามารถดูการแข่งขันของโต๊ะอื่น ๆ ได้ในขณะนั้นก็ตาม
ปัจจัยที่ 4: ขนาดของเงินรางวัลที่ผู้เข้าแข่งขันจะได้รับที่น้อยที่สุด
ในปัจจัยสุดท้ายนี้ ควรพิจารณาการสมัครเข้าแข่งขันเท่ากับการชำระค่าสมัครเข้าแข่งขัน 1 รายการ โดยไม่ควรคิดเป็นจำนวนเงินที่ใช้ในการสมัคร การแข่งขันบางรายการมีเงินรางวัลที่น้อยที่สุด 1.2 เท่าของค่าสมัคร บางรายการ 3.5-4 เท่าของค่าสมัคร ยิ่งเงินรางวัลที่มอบให้กับผู้เข้าแข่งขันที่ได้ในอันดับสุดท้ายมากขึ้นเท่าใด แผนการเล่นที่ใช้ก็ต้องปรับตัวให้เหมาะสมมากขึ้น
ในบางครั้งผู้เล่นทั่วไปและผู้เล่นมืออาชีพบางคนมักยึดติดกับการเข้าแข่งขันในระดับที่สูงที่สุดเท่าที่สามารถร่วมแข่งขันได้ ทำให้แผนการเล่นของพวกเขาขาดความยืดหยุ่น เนื่องจากมุ่งหวังไปที่รายได้และจำนวนเงินที่มีผลต่อการตัดสินใจ ทำให้เราสามารถปรับใช้กลยุทธ์ในการโจมตีผู้เล่นเหล่านี้ได้ เพราะพวกเขาจะไม่ยอมเสียชิปไปง่าย ๆ และไม่ยอมเสี่ยงหากถูกกดดัน
เมื่อเงินรางวัลที่น้อยที่สุดมีค่าสูงกว่าค่าสมัครมากขึ้นเท่าใด แผนการเล่นที่ใช้ก็ควรลดความเสี่ยงในการเล่นให้น้อยลง แต่หากเงินรางวัลน้อยลงคุณสามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเล่นได้มากขึ้น
สรุปบทความ
การแข่งขันในช่วง Bubble สร้างความกดดันให้กับผู้เข้าแข่งขันสูง แต่สามารถเปลี่ยนมาเป็นความสนุกและสร้างรายได้ให้กับคุณได้ หากคุณศึกษาปัจจัยทั้ง 4 ข้อนี้และเล่นให้มีข้อผิดพลาดน้อยกว่าคู่ต่อสู้ของคุณ